บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 ตำนานวังหยวนหนิง(2)

ครั้นเมื่อมองเห็นเซียนทั้งสองเดินลับสายตาไปแล้ว องค์ชายเจาเจินจึงหันมาถามหญิงสาวผู้ยืนนิ่งอยู่

“ตำนานวังหยวนหนิง ค่อนข้างยาว หากเทพธิดายังอยากฟัง ข้าก็ยินดีเล่าให้ฟัง แต่แดดเริ่มแรงแล้ว คงไม่เหมาะที่จะเล่าตรงนี้นัก ข้าเห็นว่าเราควรไปสนทนากันบนศาลาด้านโน้นจะดีกว่าหรือไม่?”

“ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ”

หญิงสาวอาภรณ์สีชาดตอบรับทันที พร้อมอมยิ้มด้วยความดีใจที่จะได้ฟังเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับตนเองโดยตรง แต่ก็ถือว่าเพิ่มพูนปัญญาได้เช่นกัน

“เชิญ”

องค์ชายสามกล่าวพลางผายมือไปทางศาลาที่อยู่ห่างออกไปเพียงสิบก้าว ให้นางก้าวนำไปก่อน จากนั้นเขาจึงก้าวตามไปติดๆ

เมื่อขึ้นไปนั่งบนศาลาเรียบร้อยแล้ว องค์ชายเจาเจินจึงเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ข้ารู้สึกเสียเปรียบ หากเทพธิดารู้จักนามของข้าเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้น พอจะบอกนามของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่?”

"หม่อนฉัน ซือซิงเพคะ"

หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แต่ในสมองยังขบคิดเรื่องวังหยวนหนิงอยู่ตลอดเวลา จึงเอ่ยถามต่อ

“หม่อมฉันขอบังอาจทูลถามต่อจากที่ท่านเซียนเล่าเมื่อครู่ เรื่องของวิเศษนั้นน่าสนใจอย่างไร เพคะ จึงได้มีผู้กล้าเสี่ยงชีวิต คิดลักลอบเข้าไปขโมยของสิ่งนั้นออกมา?”

ยังมิทันที่ซือซิงจะได้คำตอบ เหล่านางกำนัลซึ่งไม่ทราบว่าเดินมาจากทางใดก็ไม่รู้ กำลังเรียงหน้ายกถาดอาหารเข้ามาพร้อมชุดน้ำชาหรูหรา พวกนางวางทุกสิ่งลงบนโต๊ะอย่างประณีตเรียบร้อย

องค์ชายเจาเจินเอ่ยกำชับกับนางกำนัลด้วยว่า

“พวกเจ้า จงไปจัดผลท้อร้อยปี ที่โม่โฉวเสิ่นจวินได้มอบให้ข้าเมื่อวันก่อน นำมาวางบนโต๊ะให้เทพธิดาซือซิงได้ลองชิมด้วย”

“เป็นผลท้อจากวิมานเจียวลู่ ซึ่งร้อยปีจึงออกผลเพียงครั้งหนึ่ง หากรับประทานแล้วจะเพิ่มพูนพลังปราณอีกร้อยปี ถูกต้องหรือไม่เพคะ?”

ซือซิงถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดวงตาลุกวาวเป็นประกาย มององค์ชายเจาเจินด้วยความนับถือในน้ำใจของเขา

องค์ชายเจาเจินพยักหน้า พร้อมยิ้มกริ่มด้วยความยินดี

วูบต่อมา นางก็วกกลับไปถามเรื่องที่ค้างคาใจ

“ตกลง… ของวิเศษนั้นคือสิ่งใดเพคะ?”

"อันของวิเศษเห็นจะได้แก่… ศาสตราเทพกระบี่เฟยฉี คันฉ่องสะท้อนวิญญาณ เจดีย์กักมาร แหวนหยกมงคลโชค ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของจิ้นฝานซ่างจวิน เทพบรรพกาลผู้ควบคุมมิติกาลแห่งสามภพ”

กล่าวถึงตรงนี้ องค์ชายสามก็กางพัดจีบออก โบกสะบัดเป็นจังหวะ ยังไม่ทันได้เล่าต่อ ก็ถูกซือซิงถามแทรกขึ้นมาก่อน

“แล้วเหตุใดท่านเทพผู้เฒ่าจึงไม่ยกของวิเศษเหล่านั้นให้แก่ทายาทหรือชายาของท่านเป็นผู้ดูแล แต่กลับให้สัตว์เทพเป็นผู้รักษาสมบัติล้ำค่าแทนเพคะ?”

องค์ชายเจาเจินขมวดคิ้ว นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“จิ้นฝานซ่างจวินเป็นบุรุษผู้ยึดมั่นในศีล ตัดอารมณ์ทั้งเจ็ด กิเลสทั้งหก ไม่ข้องแวะเรื่องทางโลก ไม่มีทั้งชายาและทายาท จึงไร้ผู้สืบทอดดูแลของวิเศษทั้งหลาย ส่วนเหล่าสัตว์เทพคงไร้ที่พึ่งพิงอื่น จึงยังรั้งอยู่ภายในวังกระมัง”

ขณะซือซิงกำลังยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม สายตาเหลือบไปเห็นม่านนางกำนัลประจำตัวยืนอยู่ใต้ต้นหลิว ซึ่งอันที่จริงเวลานี้นางควรอยู่ที่ตำหนัก ไฉนจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้

และด้วยท่าทางกระวนกระวายคล้ายกับมีเรื่องทุกข์ใจเป็นอย่างหนัก ยิ่งสีหน้าก็ดูเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้เช่นนั้น ซือซิงจึงขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจและสงสัย เกิดเหตุร้ายอันใดกับนางกำนัลของตนกันแน่?

“ขอประทานอภัยฝ่าบาท วันนี้ซือซิงไร้วาสนาได้ชิมผลท้อร้อยปี ด้วยมีธุระเร่งด่วน จึงต้องทูลลาเพคะ”

ซือซิงลุกขึ้น โค้งคำนับอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวเท้าลงจากศาลาไปทันที

องค์ชายเจาเจินได้แต่มองตามหลังนางไป โดยมิได้เอ่ยรั้งนางไว้แม้สักคำ คาดว่านางคงมีเรื่องเร่งด่วนจำเป็นจริง เพราะแม้แต่ผลท้อร้อยปีที่ดูเหมือนนางจะโปรดปราน ยังตัดใจจากไปโดยไม่รีรอ

อย่างไรก็ดี การทราบนามของนางแล้ว ย่อมง่ายต่อการสืบหาประวัติของสาวงามผู้นี้ เรื่องผูกไมตรี ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไปจึงจะดีที่สุด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel