บท
ตั้งค่า

บทที่ 3: เจ้าแมวตัวร้าย【1】

การกระทำของซิ่นเฉิงล้วนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดรูปทรงประหลาดตาก็ปรากฏให้เห็นในห้องรับรองของเรือนหลังใหญ่ เทียนอี้ซึ่งนั่งพินิจเครื่องประดับผมในมือละสายตาไปมองยังผู้มาใหม่ ครั้นเห็นว่าเป็นเจ้าม้าหนุ่มจอมพยศ เขาก็จ้องมองอย่างสำรวจ

เสื้อผ้าฝ้ายสีดำไร้แขนแนบชิดลำตัวอำพรางเรือนร่างของซิ่นเฉิง กางเกงผ้าฝ้ายสีเดียวกันตัดเย็บผสมผสานกับหนังสัตว์ รองเท้าสานจากหญ้าแห้ง เครื่องแต่งกายนี้บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าใด สำหรับซิ่นเฉิงแล้ว คงจะมาจากเผ่าทางเหนือซึ่งรอนแรมหนีหนาวมาทางใต้ ถึงได้ใช้หนังสัตว์ขนยาวในการประดับตกแต่งเป็นเครื่องนุ่งห่ม

กระนั้นก็หาได้สำคัญแต่อย่างใดเมื่อซิ่นเฉิงออกปากทวงถึงสิ่งของสำคัญของตน

“ไหนเครื่องประดับผมของนาง”

เทียนอี้ปรายตามอง ชูของในมือขึ้น

“ส่งมันมาให้ข้า”

น้ำเสียงที่ใช้ช่างหาได้มีความอ่อนน้อมเลยแม้แต่น้อย แต่เทียนอี้ก็ไม่ได้ต่อว่าใดๆ นอกเสียจากส่งมันต่อให้พ่อบ้านเหลียงนำไปมอบให้ชายหนุ่ม

ทันทีที่ได้รับมาถือในมือ ซิ่นเฉิงก็มีสีหน้ายากจะอ่านปรากฏให้เห็น ก่อนจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมา

“ประดับผมของเจ้าเสียสิ ข้าได้ยินมาว่าเผ่าของเจ้า ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ล้วนตกแต่งเรือนกายด้วยเครื่องประดับเงิน”

คิดหรือว่าซิ่นเฉิงจะทำตาม เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าจะดื้อแพ่ง ทำให้เทียนอี้ต้องพูดออกมาอีก

“หากเจ้าไม่ใช้ก็ส่งคืนให้ข้าเก็บรักษาให้ก่อน”

“ข้าจะใช้”

สวนกลับในทันที ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะจับปอยผมสีดำขลับของตนเองออกมาปอยหนึ่ง และจัดการสานกันเป็นเปียเล็กๆ ครั้นพ่อบ้านเหลียงส่งเชือกให้มัด เขาก็จัดการด้วยความรวดเร็ว พลันเอาเครื่องประดับชิ้นนั้นไปเกี่ยวกับผมเอาไว้

บัดนี้ ซิ่นเฉิงกลายเป็นนักรบหนุ่มแห่งเผ่าทะเลทรายทางเหนือเต็มตัว รูปลักษณ์ต่างจากคราบแมวขโมยเมื่อหลายราตรีก่อนไม่น้อย เมื่อเนื้อตัวสะอาดสะอ้านไร้คราบเปรอะเปื้อน เขาเองก็เป็นหนุ่มรูปงามไม่ต่างจากน้องสาวฝาแฝดสักนิด เทียนอี้พึงใจที่ได้เห็นคนใต้อำนาจดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา

“ข้ากลับไปที่คุกได้หรือยัง”

เห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น ซิ่นเฉิงก็โพล่งขึ้นมา ดูก็รู้ว่าเขาไม่อยากจะอยู่ที่นี่สักเท่าไร

ไม่สิ... เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับเทียนอี้ต่างหาก ยอมรับว่าการอยู่ต่อหน้าของแม่ทัพเทพอสูรตนนี้ช่างทำให้เขาประหม่าเสียเหลือเกิน เทียนอี้เองก็รับรู้ได้ ทว่าธุระของเขายังไม่เสร็จสิ้น ก่อนเขาจะเอ่ยตอบ

“ข้ามีเรื่องจะต่อรองกับเจ้า”

“มีเรื่องอันใดก็จงรีบพูด”

น้ำเสียงสื่อออกมาอย่างชัดเจนว่ารังเกียจที่จะเสวนาด้วย ขณะที่ เทียนอี้แสร้งทำไม่สนใจ

“ข้าต้องการให้เจ้าปฏิบัติตนเยี่ยงข้ารับใช้คนอื่นๆ”

เลี่ยงที่จะไม่พูดคำว่า ‘ทาส’ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เทียนอี้ก็หาได้คิดว่าเหล่ามนุษย์ที่มาสวามิภักดิ์กับตนเป็นทาส หากแต่เป็นคนมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ต่างๆ ในจวนให้เขามากกว่า แม้ว่าสถานะที่แท้จริงจะคือทาสก็ตาม จะพูดว่าเป็นเพราะเขามีเมตตาด้วยครั้งหนึ่งเคยเป็นเทพบนสวรรค์ก็ได้ ถึงได้มีความคิดเช่นนี้

ทว่าสำหรับซิ่นเฉิงแล้ว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะ

“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นทาสของเจ้าจริงๆ เช่นนั้นหรือ? ฝันไปเถิดเจ้าสุนัขป่า!”

ก็คิดอยู่แล้วล่ะว่าซิ่นเฉิงจะต้องมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างนี้ พลัน เทียนอี้ก็หันไปพยักหน้าให้พ่อบ้านเหลียงนำสิ่งหนึ่งมาวางบนโต๊ะ

“ข้าก็ไม่อยากจะบังคับเจ้า ถึงได้บอกว่ามีเรื่องต่อรอง” ว่าพลางคลี่ห่อผ้าออกช้าๆ

ซิ่นเฉิงมองอย่างสงสัย ก่อนที่จะเบิกตาโตทันทีที่เห็นว่าภายในห่อผ้านั้นมีสิ่งใดอยู่

เครื่องประดับเงินของเขา!

เป็นของที่เขาถอดทิ้งเอาไว้ก่อนปลอมตัวเป็นพ่อค้า แฝงกายเข้ามาในแคว้นเฟิงฝู

ความจริงแล้ว แค่เครื่องประดับเงิน ซิ่นเฉิงไม่จำเป็นจะต้องอยากได้คืนก็ได้ เขาจะสวมวิญญาณโจรทะเลทราย ปล้นชิงจากกองคาราวานมาอีกเท่าไรก็ย่อมได้หากได้รับอิสระ แต่ที่ไม่อาจละเลยได้เป็นเพราะ...

...สร้อยคอวงพระจันทร์เสี้ยว เขาได้รับมาเมื่อครั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ มันเป็นเครื่องหมายของการเป็นบุรุษเต็มตัวและการเคารพนับถือจากพี่น้องร่วมสาบาน

...สร้อยข้อมือ ผู้อาวุโสในเผ่ามอบให้ครั้งเติบใหญ่เข้าสู่ชายหนุ่มวัยแรกรุ่น เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและความเป็นอิสระจากการดูแลของครอบครัว

...สร้อยข้อเท้า ผู้น้อยในเผ่ามอบให้หลังจากเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักรบ นั่นหมายถึงการแสดงความนับถือและการขอฝากฝังชีวิตไว้ใน อุ้งมือของเขา

ทั้งหมดล้วนมีคุณค่าทางจิตใจและจิตวิญญาณทั้งสิ้น มันเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เขาแข็งแกร่งเฉกเช่นทุกวันนี้

ทันทีที่เห็นเช่นนั้นก็ถลาเข้าไปหมายจะช่วงชิงกลับคืน แต่ก็ไม่อาจเข้าใกล้ด้วยทหารรับใช้ของเทียนอี้เข้ามาสกัดไว้เสียก่อน มีกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยด้วยซิ่นเฉิงไม่ยอมง่ายๆ

เทียนอี้เหลือบมอง ครู่หนึ่งซิ่นเฉิงถึงสงบลง เขาถึงได้พูดต่อ

“ห่อผ้านี้ น้องสาวของเจ้าฝากมาให้ ข้าจะคืนมันให้เจ้า แต่ต้องมีเงื่อนไข”

นั่นอย่างไรเล่า เจ้าสุนัขป่าตัวนี้เคยให้อะไรเขาโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนกันบ้าง!

“อะไร!” ซิ่นเฉิงชักหัวเสีย ตะเบ็งเสียงออกมา

พ่อบ้านเหลียงคันปากยุบยิบ อยากจะตำหนิให้ระวังท่าทีไว้บ้าง แต่เห็นว่าเทียนอี้ไม่พูดอะไร เขาจึงไม่ปริปาก ปล่อยให้ผู้เป็นนายจัดการ

“ข้าจะมอบเครื่องประดับของเจ้าคืนให้อย่างละชิ้นต่อการเชื่อฟัง ครั้งหนึ่ง หากเจ้าเชื่อฟัง ปฏิบัติตนตามคำสั่ง เจ้าจะได้สมบัติของเจ้าคืน”

ซิ่นเฉิงส่งเสียงจึ๊ในลำคออย่างไม่พอใจ แต่ก็เข้าทางเทียนอี้เลยทีเดียวด้วยเขารู้ดีว่าคนอย่างซิ่นเฉิง ต่อให้ไม่อยากทำเพียงใด แต่เพื่อสิ่งที่ต้องการแล้ว เขาพร้อมจะแลกมาไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

“หากเจ้ายอมรับเงื่อนไข ข้าจะให้พ่อบ้านเหลียงเป็นคนดูแล” ตัดบทเอาเสียอย่างนั้น

ถึงตอนนี้ ซิ่นเฉิงก็ต้องยอมรับแล้ว

“ได้ ข้าจะทำ”

เทียนอี้มองอย่างพอใจ พลันหันไปสั่งพ่อบ้านเหลียง

“ช่วยดูแลคนรับใช้คนใหม่ด้วย ตั้งแต่วันนี้ให้พาไปนอนในเรือนนอนของคนรับใช้”

“ขอรับท่านแม่ทัพ” รับคำสั่งเสร็จ พ่อบ้านเหลียงก็ตรงมายังชายหนุ่มพร้อมออกปาก “ตามมาสิ”

อย่ามาสั่งข้าเชียว เจ้าจระเข้เฒ่า...

สายตาที่ซิ่นเฉิงมองคนพูดเหมือนกำลังจะบอกอย่างนั้น แต่ไร้ซึ่ง สรรพเสียง ทำเพียงเดินตามหลังพ่อบ้านเหลียงไปเท่านั้น ปล่อยให้เทียนอี้มองนิ่งๆ อยู่ครู่ พลันละสายตาและไม่ได้สนใจอีกต่อไป

ว่ากันตามตรง ซิ่นเฉิงไม่ชินเอาเสียเลยกับการได้นอนในเรือนนอน คนรับใช้เช่นนี้ การนอนร่วมกับคนอื่นอีกหลายสิบชีวิตไม่ใช่ปัญหา เมื่อครั้งที่เขายังมีอิสระ เขาก็คลุกคลีกับพวกนักรบคนอื่นๆ นอนกลางดิน กินกลางทรายด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้เขานอนไม่หลับนั้นเป็นเพราะฟูกที่นุ่มสบายเกินไปเสียมากกว่า คนที่นอนบนพื้นทรายอย่างเขามาตลอดชีวิต คุ้นชินกับฟูกเช่นนี้เสียที่ไหน

ดังนั้นราตรีแรกในการย้ายมานอนยังเรือนคนรับใช้ ซิ่นเฉิงจึงข่มตาหลับไม่ได้เลยสักนิด เมื่อไม่ได้นอน อารมณ์ก็ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ครั้นพ่อบ้านเหลียงพาออกมาสอนงานที่ต้องทำในจวนให้ ซิ่นเฉิงก็ทำไม่ได้ทุกงานไป ความอดทนต่ำถึงขีดสุด ทำได้ไม่เท่าไรก็ออกอาการอาละวาดเสียจนคนรับใช้คนอื่นๆ วงแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง ลำบากพ่อบ้าน เหลียงอีกที่ต้องเข้ามาห้ามทัพเสียทุกคราไป อะไรไม่ว่า พ่อบ้านเหลียงก็ถูกซิ่นเฉิงแผลงฤทธิ์ใส่อีกด้วย

ก่อนหน้านั้นให้ไปตักน้ำจากบ่อน้ำมารดต้นไม้ในสวน ซิ่นเฉิงก็เกิดหงุดหงิดฉุนเฉียว ทิ้งถังน้ำลงพื้นเอาดื้อๆ เมื่อคนรับใช้คนหนึ่งทักท้วง ก็ถูกเขาคว้าถังน้ำใบเดิมมาสาดน้ำใส่ พอพ่อบ้านเหลียงเข้ามาห้ามปราม ซิ่นเฉิงก็จัดการเอาถังไม้นั้นแกว่งกระหวัดฟาดเสียอย่างนั้น เคราะห์ดีที่พ่อบ้านเหลียงมีวรยุทธ์ด้วยเดิมทีเองก็เป็นเทพบนสวรรค์จึงหลบหลีกมาได้ แต่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ซิ่นเฉิงอาละวาดทำลายสวนจนต้องเรียกเหล่าทหารเทพอสูรมากำราบ กว่าจะสิ้นฤทธิ์ก็เล่นเอาสวนพังไปเสียครึ่งแถบ

ช่างน่าปวดกะโหลกยิ่งนัก!

และไม่ว่าจะให้ซิ่นเฉิงทำงานใด เขาก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุผลหลักคือเขาไม่อาจปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ พ่อบ้านเหลียงพยายามเข้าใจว่าเป็นเพราะซิ่นเฉิงใช้ชีวิตอย่างอิสระ เมื่อถูกกำหนดกฎเกณฑ์ก็อึดอัดจนคลุ้มคลั่ง แต่การที่อาละวาดมันเสียทุกงาน ทุกชั่วยาม และทุกทิวาราตรี มันทำให้เขาหมดความอดทนเช่นกัน

เรื่องความเกเรของคนรับใช้คนใหม่ของจวนจึงไปถึงหูท่านแม่ทัพ แม้ไม่อยากจะให้มีเรื่องรำคาญใจ แต่ถึงอย่างไร เทียนอี้ก็สมควรต้องรับรู้

“ข้าว่าท่านแม่ทัพต้องจัดการเจ้ามนุษย์ผู้นั้นเสียให้เด็ดขาดแล้วขอรับ เพราะท่านใจดี เอ็นดูเจ้านั่นมากเกินไป เลยทำให้ได้ใจ”

เทียนอี้รู้อยู่แล้วว่าสักวันพ่อบ้านเหลียงจะต้องมาคุยกับเขาเรื่องนี้เขาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ชำเลืองมองผู้พูด

“มันเป็นการฝึก”

ฝึกก็คือการปราบพยศ อย่างที่เทียนอี้เคยว่า ซิ่นเฉิงเป็นม้าหนุ่มจอมพยศ จะปราบพยศได้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับพ่อบ้านเหลียงแล้ว เขาคิดว่าไม้อ่อนคงจะใช้ไม่ได้ผลกับเจ้าม้าตัวนี้ สมควรอย่างยิ่งแก่การเอาไม้มาทุบให้หัวแบะเสียมากกว่า

“แต่ข้าว่าการที่ท่านแม่ทัพปล่อยให้เป็นเช่นนี้ รังแต่จะทำให้เจ้ามนุษย์นั่นได้ใจนะขอรับ ข้าว่าท่านทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้ดีกว่า”

เทียนอี้เข้าใจความกังวลของพ่อบ้านเหลียงดี แต่เขาก็ไม่ได้เห็นว่ามนุษย์อย่างซิ่นเฉิงจะร้ายกาจอะไร ที่บุกเข้ามาในจวนเขายามวิกาลนั่นก็เพราะเป็นห่วงน้องสาวร่วมสายโลหิต ยอมสละตนเองเพื่อให้พรรคพวกรอด นั่นนับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้เลยทีเดียว

“เจ้าไม่ต้องใส่ใจ ทำตามที่ข้าสั่งไปเถิดพ่อบ้านเหลียง”

เพราะคิดอย่างนั้นเลยไม่มีความเห็นใดอีก พ่อบ้านเหลียงเห็นก็เอ่ยปากท้วง

“แต่ว่า...”

“ประเดี๋ยวข้าจะไปที่ห้องหนังสือเสียหน่อย ราตรีนี้เจ้าไม่ต้องตามมาคอยรับใช้ ไปพักผ่อนเถิด” ตัดบทเอาเสียดื้อๆ

พ่อบ้านเหลียงเลยพูดต่อไม่ออก ได้แต่ระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

ท่านแม่ทัพเทียนอี้จะชะล่าใจเกินไปแล้ว...

คราแรกที่ตอบรับเงื่อนไขของเทียนอี้ก็เพราะคิดว่าแค่ทำตามที่อมนุษย์ตนนั้นต้องการ แลกกับเครื่องประดับชิ้นหนึ่งมันไม่ใช่เรื่องอยาก แต่ในความเป็นจริง ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียเหลือเกิน ซิ่นเฉิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายอยู่แล้วเมื่อต้องทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายที่เขาไม่เต็มใจยอมรับอย่างนั้น

สู้ไปขโมยมาให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้วหนีออกไปยังจะง่ายกว่าอีก!

ชายหนุ่มอดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังไม่เพียงคิดอีกด้วย เขาจะทำมันจริงๆ

หลายราตรีที่ผ่านมานี้ ซิ่นเฉิงลอบสังเกตว่าทุกคืน เทียนอี้จะออกจากห้องรับรองไปยังห้องหนังสือ และใช้เวลาอยู่ในนั้นจนถึงยามจื่อ[ ยามจื่อ เท่ากับเวลา 23.00 น. - 00.59 น.] จากนั้นถึงจะกลับเข้าห้องนอน ดังนั้นหากเขาจะไปขโมยมาและหนีออกจากจวนแม่ทัพ รวมถึงกลับสู่ทะเลทราย จึงมีโอกาสแค่ชั่วยามนี้เท่านั้น

ซิ่นเฉิงออกจากเรือนคนรับใช้เมื่อถึงเวลา สายตากวาดมองไปในความมืดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นเขา ครั้นเห็นทางสะดวกก็รีบทะยานไปยังเรือนหลังใหญ่ หมายจะเข้าไปในห้องนอนของเทียนอี้

กลิ่นสาบทะเลทรายลอยคละคลุ้งมาเตะปลายจมูก ต่อให้ผ่านการอาบน้ำชำระล้างร่างกายหลายต่อหลายครั้ง แต่เทียนอี้ก็จำได้ดีว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของซิ่นเฉิง ด้วยความที่กลิ่นเข้ามาใกล้เสียจนเตะปลายจมูกทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าของกลิ่นคงจะมาเล่นสนุกในเรือนของเขากลางดึก ทำให้เขาต้องละความสนใจจากตำราตรงหน้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และออกไปยังนอกระเบียง สูดหายใจเพื่อหาต้นตอว่ากลิ่นนั้นพัดมาจากทิศทางใด

“ห้องนอน...” เทียนอี้พึมพำ หน้าผากย่นยู่เล็กน้อยก่อนจะตรงไปยังทิศทางนั้น การที่ซิ่นเฉิงบุกรุกห้องนอนเขาคงเป็นอื่นใดไม่ได้นอกเสียจาก...

คิดแล้วก็หัวเราะในลำคอด้วยรู้ว่าซิ่นเฉิงจะไปหาอะไรในห้องนอนเขา พลางพึมพำออกมาอีก

“เจ้าแมวขโมยตัวนี้ช่างไม่เข็ดหลาบเอาเสียเลย”

ห่อผ้าบรรจุเครื่องประดับต้องอยู่ที่ไหนสักที่ในห้องนอนของเทียนอี้!

แต่ซิ่นเฉิงที่บุกรุกเข้ามาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ก็ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย เขารื้อทุกตู้ ค้นทุกชั้น ไม่เว้นแม้แต่ซอกมุม ล้วนหาไม่เจอเลยสักนิดว่าห่อผ้าที่ซิ่นจินฝากให้อยู่ที่ไหน พานชวนให้หัวเสียขึ้นมาอีกจนต้องก่นด่าเจ้าของห้องออกมา

“ขุดดินฝังกลบหรืออย่างไรกัน เจ้าสุนัขหัวขโมย...”

เสียงนั้นเข้าหูของเทียนอี้ซึ่งอยู่ทางด้านนอกอย่างจัง

สุนัขหัวขโมยเช่นนั้นหรือ? เขานึกขันในใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ข้าว่าเจ้าต่างหากกระมังที่เป็นหัวขโมย ...เจ้าแมวขโมย”

ซิ่นเฉิงสะดุ้งเฮือก หันไปมองตามทิศทางของต้นเสียง พลันเห็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ทางด้านนอกประตูก็รีบหาทางหนีทีไล่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาหมายจะหนีออกจากจุดที่อยู่ทว่าก็ไม่ทันการ เพียงแค่จะกระโดดออกจากหน้าต่าง เทียนอี้ก็ผลักบานประตูเข้ามา ปรี่มาหาเขาด้วยความว่องไว มือคว้าข้อเท้าไว้ก่อนที่ซิ่นเฉิงจะกระโดดลงจากขอบหน้าต่างได้เสียอีก

“เข้ามาทำสิ่งใดในห้องข้า”

ซิ่นเฉิงหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธ

“ปล่อยมือออกจากข้าประเดี๋ยวนี้!”

เทียนอี้ไม่ปล่อย ขืนปล่อย เจ้าแมวตัวนี้ก็กระโดดหนีไปน่ะสิ

เขากระชากให้อีกฝ่ายกลับเข้ามาข้างในห้อง หมายจะสอบถามให้ได้ความว่าเข้ามาในห้องนอนของเขาเพื่อการใด ทว่าการดึงซิ่นเฉิงกลับเข้ามานั้น ราวกับเป็นการเปิดฉากการต่อสู้ ซิ่นเฉิงส่งหมัดใส่อีกฝ่ายทันที

กำปั้นหลุนๆ ที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าทำให้เทียนอี้ผงะถอย เมื่อปัดมันออก ซิ่นเฉิงก็จัดการปล่อยหมัดอีกข้างใส่ กลายเป็นว่าแม่ทัพเทพอสูรต้องปะมือกับมนุษย์หนุ่มอย่างจำยอม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel