บท
ตั้งค่า

บทที่ 2: ปราบพยศ【2】

“ข้าจะอยู่ ปล่อยพี่น้องของข้าไปซะ”

เทียนอี้พยักหน้า ออกปากสั่งการ “พาพวกเขาไปส่งนอกแคว้นข้าวของของซิ่นจินก็ให้นางเก็บออกไปด้วย”

ไร้ซึ่งความอาลัยในตัวว่าที่ฮูหยินที่เพิ่งรับเข้าจวนวันนี้ พ่อบ้านเหลียงอยากจะทักท้วงเพียงใดก็จำต้องเก็บถ้อยคำเอาไว้ก่อนด้วยเหตุการณ์หลังจากนี้ค่อนข้างชุลมุน ซิ่นจินร้องไห้โวยวาย ไม่ยอมให้ซิ่นเฉิงตัดสินใจเช่นนี้ อีกทั้งสหายของแมวขโมยผู้นั้นก็ดิ้นพล่านไม่ยินยอมแต่โดยดีเช่นกัน กว่าจะจัดการได้เสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปหลายเค่อ[ เค่อ ประมาณ 15 นาที]

ครั้นทหารพาตัวทั้งสามออกไปนอกจวน และเทียนอี้สั่งการให้ทหารนายอื่นพาทาสคนใหม่ไปยังเรือนคุมขังทางด้านหลังจวน พ่อบ้านเหลียงก็ สบโอกาสเปิดปากขึ้น

“ท่านแม่ทัพขอรับ อย่าหาว่าข้ายื่นมือเข้าไปสอดเลย แต่ทำเช่นนี้จะ ดีหรือ? ท่านจำเป็นต้องมีทายาทสืบสกุล ปล่อยนางไปเช่นนั้น แล้วเอาตัวพี่ชายนางไว้ ข้าเกรงว่าจะ...”

“พ่อบ้านเหลียง” พูดยังไม่ทันจบ เทียนอี้ก็เอ่ยขัด เมื่ออีกฝ่ายเงียบ เขาก็ว่าต่อ “ข้าเข้าใจแล้วเรื่องทายาท แต่นางยังไม่ใช่สตรีที่ข้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วย อีกอย่าง นางก็หาได้เต็มใจเป็นฮูหยินของข้า เจ้าจะให้ข้าขืนใจนางหรือไร”

แต่เดิมเขาก็ไม่ได้สนใจสตรีมนุษย์ใดอยู่แล้ว การที่ซิ่นจินมาที่จวนเขาได้ ล้วนเป็นการจัดการของพ่อบ้านเหลียงทั้งสิ้น ที่เขาไม่พูดขัดใดๆ ก็ด้วยไม่อยากจะถกเถียงเรื่องที่เคยพูดมาตลอดหลายร้อยปีซ้ำไปมาก็เท่านั้น เมื่อสบโอกาส มีหรือที่เขาจะไม่รีบให้นางไป แล้วเก็บ ‘เจ้าตัวน่าสนุก’ เอาไว้เลี้ยงดูแทน

“แต่ท่านก็รู้ว่าเทพอสูรหาได้มีสตรีแต่อย่างใด เราจำเป็นต้องสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น จึงจำเป็นต้องมีทายาท เทพอสูรตนอื่นวัยไล่เลี่ยกับท่านรึก็มีทายาทสืบสกุลกันถ้วนหน้าแล้ว แต่ท่าน...”

“ท่านก็ยังไม่มีทายาทไม่ใช่หรือพ่อบ้านเหลียง แม้แต่ฮูหยินก็ไม่มี”

เทียนอี้สวนขึ้น พ่อบ้านเหลียงก็ปิดปากฉับ เถียงต่อไม่ออก ได้แต่ระบายลมหายใจออกมา ปล่อยให้ผู้เป็นนายกลั้วหัวเราะเบาๆ และเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรทิ้งท้ายไว้อีก ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงพึมพำบ่นกับตนเองตามหลัง

“ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้ ยังจะหาญกล้าไปสั่งสอนท่านแม่ทัพอีก”

เมื่อตกอยู่ในสภาพจำยอม ซิ่นเฉิงก็พยายามจะคิดในแง่ดีว่าตกเป็นทาสก็ยังดีกว่าเป็นฮูหยิน และดีอย่างยิ่งด้วยพี่น้องของเขารอดชีวิตกลับออกไปจากแคว้นอสุรกายอย่างปลอดภัย แต่ก็รำคาญใจอยู่ไม่น้อยครั้นคิดว่าจะต้องพินอบพิเทา คุกเข่าและก้มศีรษะให้กับเจ้าหมาป่าขนฟูฟ่องตัวนั้น

น่าเจ็บใจนัก!

เพราะอย่างนั้น ซิ่นเฉิงจึงไม่อาจเข้าร่วมใช้แรงงานกับทาสมนุษย์คนอื่นๆ ในจวนได้ ถูกกักตัวอยู่ในเรือนคุมขังทาสเพื่อรอดูท่าที ผ่านไปหลายราตรี ก็หาได้เห็นว่าเขาจะมีท่าทางกระด้างกระเดื่องน้อยลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังประท้วงด้วยการปฏิเสธความเมตตาจากเทียนอี้ ไม่แตะต้องอาหาร ดื่มเพียงน้ำเท่านั้น จนร่างกายอ่อนแรงทีละน้อย แม้จะอดอาหารบ่อยครั้งด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาคลุกคลีอยู่กับความอดอยาก แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเป็นไปของวัฏจักรชีวิตได้ไหว

กระนั้น...ก็ยังแผลงฤทธิ์อยู่ดังเดิม พร้อมจะอาละวาดใส่ทหารผู้คุม ทุกตนที่เข้ามาใกล้ นับว่าเป็นมนุษย์คนแรกเลยก็ว่าได้ที่ปั่นป่วนเสียจนจวน แม่ทัพเทียนอี้อลหม่านไปหมด

การไม่ปรากฏตัวเลยของทาสคนใหม่ทำเอาเทียนอี้ประหลาดใจ แต่ก็หาได้สนใจนักด้วยเขามีภาระหน้าที่ต้องจัดการมากมาย หากแต่ครั้นได้ยินว่าที่ซิ่นเฉิงไม่ได้ออกมาใช้แรงงานร่วมกับทาสคนอื่นๆ เป็นเพราะเขาอาละวาดไม่หยุด พ่อบ้านเหลียงจึงเห็นว่ายังไม่เหมาะสมที่จะเอามาใช้งาน หากยังพยศอยู่เช่นนี้ มีหวังคงได้ทำให้ทาสมนุษย์คนอื่นๆ วุ่นวายอย่างแน่นอน

และเมื่อได้ฟังความจากพ่อบ้านเหลียงว่าซิ่นเฉิงก่อวีรกรรมใดไว้บ้าง เขาก็ถามเสียงเรียบออกมา

“แล้วเจ้านั่นอยากได้สิ่งใด”

“ท่านแม่ทัพยังต้องถามอีกหรือ? ย่อมแน่อยู่แล้วว่าเจ้าคนผู้นั้นต้องอยากเป็นอิสระ”

ได้คำตอบอย่างนั้น เทียนอี้จึงเปลี่ยนคำถาม

“ถ้าเช่นนั้น นอกจากเป็นอิสระจากข้า เขาอยากได้สิ่งใด”

“ข้าก็ถามแล้วเช่นกัน แต่เจ้านั่นทำเพียงจ้องมองข้าด้วยสายตากราดเกรี้ยว อีกทั้งยังเรียกข้าว่าเจ้าจระเข้เฒ่าอีก”

“จระเข้เฒ่ารึ”

เทียนอี้จับจ้องไปยังผู้พูดทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ เสี้ยวหน้าสุนัขป่าก็คล้ายจะมีรอยยิ้มขบขัน ก่อนมันจะหายไปในพริบตาเมื่อถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาคล้ายตำหนิ

“เอาล่ะพ่อบ้านเหลียง ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”

เพราะคิดได้ว่าเขาได้รับของบางอย่างจากซิ่นจินในวันที่ส่งตัวนางและนักรบแห่งเผ่าทะเลทรายกลับออกไปนอกแคว้น นางได้ฝากห่อผ้าห่อหนึ่งให้กับซิ่นเฉิงไว้

ห่อผ้านั้น...คงจะเป็นเครื่องมือต่อรองกับชายหนุ่มได้ไม่มากก็น้อย

ซิ่นเฉิงนั่งพิงกำแพงด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก สายตา จับจ้องไปยังผู้คุมทางด้านนอกที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนมาตั้งแต่เมื่อหลายชั่วยามก่อน พลันเหลือบมองข้อมือและข้อเท้าซึ่งถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้

ทาสเช่นนั้นหรือ? ที่เขาเป็นอยู่นี่มันนักโทษไม่ใช่หรือไร

นึกสังเวชในชะตากรรมของตนขึ้นมา ก่อนที่ความคิดนั้นจะมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาใหม่ พร้อมกับการทำความเคารพของผู้คุม เท่านั้นก็รู้ว่าผู้มาใหม่น่ะคือ...

“ข้าได้ยินว่าเจ้าไม่กินข้าวกินน้ำแม้แต่วันเดียว คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ”

...เทียนอี้

มาถึงก็เอ่ยปากขึ้น ซิ่นเฉิงไม่พูดตอบโต้ใดๆ ทำเพียงมองอีกฝ่ายในอาภรณ์งดงาม ถักทอจากไหมชั้นดีนิ่งๆ เท่านั้น ก่อนจะนึกขบขันขึ้นมา

“หึ เจ้ายังจะต้องใส่เสื้อผ้าอีกหรือ? ข้าว่าสุนัขป่าเช่นเจ้าไม่จำเป็นต้องสวมใส่ของชั้นดีเช่นนั้นหรอก ทำเพียงยืนสี่ขาแล้วเห่าหอนก็พอ”

“เจ้า!” พ่อบ้านเหลียงที่ตามเข้ามาด้วยถึงกับหัวเสีย หลุดขึ้นเสียงออกมา แต่ก็เงียบไปเมื่อเทียนอี้ยกมือปรามโดยไม่พูดอะไร

ครั้นทุกอย่างสงบนิ่งดังเดิม เทียนอี้ก็ว่าออกมาช้าๆ “เนื้อตัวเจ้าเปรอะเปื้อนไม่น้อย กินอาหารแล้วชำระล้างร่างกายเสียหน่อย ข้าให้คนเอาเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เจ้าเปลี่ยน”

สิ้นเสียง พ่อบ้านเหลียงก็ให้ทาสมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่เป็นคนรับใช้นำเสื้อผ้ามาให้ มันเป็นเสื้อผ้าเช่นเดียวกับที่ทาสมนุษย์ในจวนสวมใส่ ซิ่นเฉิงชำเลืองมองแล้วแสร้งเมิน

มันเรื่องอันใดที่เขาจะต้องยินยอมทำตาม หากเขาทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่ายอมรับสถานะตนเองว่าเป็นทาสของเทียนอี้น่ะสิ เขาไม่ทำหรอก!

แม่ทัพเทพอสูรมองก็พอดูออกว่าชายหนุ่มหัวดื้อคนนี้คิดการใดอยู่ เขาก็คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ พลันล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อ หยิบอะไรบางอย่างออกมาพร้อมว่า

“หากเจ้าไม่ชอบเสื้อผ้านั้น จะสวมใส่เสื้อผ้าที่เข้ากับเครื่องประดับนี้ ข้าก็ไม่ว่า”

ซิ่นเฉิงเบนสายตาไปมอง ทันทีที่เห็นเครื่องประดับเงินร้อยระย้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเดือนหงาย เขาก็เบิกตาโพลง

นั่นมันเครื่องประดับผมของซิ่นจิน!

เขาจำได้เป็นอย่างดี เพราะเขาเองก็มีเครื่องประดับแบบเดียวกันอยู่ชิ้นหนึ่ง มันเป็นของต่างหน้าที่มารดาทิ้งไว้ให้เขากับน้องสาวคนละชิ้น แต่ของเขานั้นสูญหายไประหว่างการล่าสัตว์เมื่อครั้งที่เขาเป็นเด็กหนุ่มแรกรุ่น จึงมีแต่ซิ่นจินเท่านั้นที่มีเครื่องประดับนี้อยู่ นางให้เขาไว้ดูต่างหน้า...

ซิ่นเฉิงรับรู้ได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอก และก็รู้ดีเช่นกันว่าเทียนอี้คงไม่มอบให้โดยง่ายหากไม่มีเงื่อนไข

“เจ้าต้องการสิ่งใด”

“กินข้าวแล้วชำระล้างร่างกายเสีย เมื่อแต่งตัวเสร็จก็จงออกไปเอาเครื่องประดับนี้กับข้าที่ห้องรับรอง ส่วนเสื้อผ้าของเผ่าเจ้า ข้ามอบให้เป็นหน้าที่ของพ่อบ้านเหลียงดูแล”

แค่นั้นน่ะหรือ?

ซิ่นเฉิงสงสัย แต่ก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะทันทีที่สิ้นเสียงของเทียนอี้ ทาสรับใช้มนุษย์ก็ยกอาหารเข้ามาให้ เขาจึงไม่รอช้าที่จะกินมันเข้าไปโดยไม่สนว่าอาหารในถาดนั้นปรุงจากวัตถุดิบใดบ้าง ทั้งหมดเป็นไปอย่างเร่งรีบเพียงเพื่อต้องการเอาเครื่องประดับนั้นกลับคืนมาสู่อุ้งมือตนในไวที่สุดเท่านั้น เทียนอี้ปรายตามองอย่างพอใจ ก่อนเขาจะผละออกไปโดยมีพ่อบ้านเหลียงตามไปส่ง ครั้นจะแยกจากกัน พ่อบ้านเหลียงก็เอ่ยขึ้นมา

“ตามใจเช่นนี้มันดีแล้วหรือท่านแม่ทัพ”

เทียนอี้หันไปมอง “ม้าพยศก็ต้องใจดีด้วย หากเจ้าปราบม้าพยศด้วยการบังคับขี่มัน แทนที่จะให้หญ้าให้น้ำจนอิ่มหนำ เจ้าคิดหรือว่ามันจะยอมให้เจ้าขี่ มนุษย์ผู้นั้นก็เช่นกัน ถ้าข้าบังคับฝืนใจให้ทำตามคำสั่ง มีหรือที่เขาจะยอมทำตามโดยง่าย ปราบพยศม้าเช่นไร ปราบพยศมนุษย์ก็เฉกเช่นนั้น”

เข้าใจได้โดยพลันว่าเหตุใดแม่ทัพเทียนอี้ผู้เข้มงวดถึงได้ใจดีกับซิ่นเฉิงนัก ทั้งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้น่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อเขาเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พามาหาข้า ข้าจะรอที่ห้องรับรอง”

เห็นว่าพ่อบ้านเหลียงไม่พูดใดๆ ออกมาอีกก็ปลีกตัวไปอีกทาง ปล่อยให้คนมองตามอดคิดไม่ได้ว่าซิ่นเฉิงหาใช่ทาสมนุษย์คนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ แต่เป็นสัตว์เลี้ยงของเทียนอี้มากกว่า

ดูท่าทางเทียนอี้จะสนุกกับการปราบพยศมนุษย์หนุ่มคนนี้พอดูเลยทีเดียว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel