บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 ชิงดีชิงเด่น

"นั่งลงเถอะคุณ เดินไปเดินมาแบบนี้่ ผมจะเวียนหัวอยู่แล้วนะ" น้ำเสียงเรียบขรึม ใจเย็นของผู้เป็นสามี ทำเอาปรียา บริสุทธิกุล รู้สึกหัวร้อนมากขึ้น

"เพราะว่าคุณใจเย็นอย่างนี้ไง โรงพยาบาลของเราถึงไม่ได้ไปถึงไหน คุณพ่อก็เลยพลอยไม่ยอมรับในตัวคุณไปด้วยน่ะ!" และทุกครั้งที่เธอหงุดหงิดหรือไม่ได้ดั่งใจเรื่องไหน เรื่องราวก็จะต้องจบลงแบบนี้

เขาเป็นบุตรเขยที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากบิดาของภรรยา เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่อง ลามปามไปถึงบุตรชายเพียงคนเดียว ที่ยังจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้สักที

"ลูกชายคุณก็เหมือนกัน ชอบที่ไหนไม่ชอบ ดันไปชอบต่างจังหวัด...บ้านนอกคอกนา ไม่รู้ว่าจะคุ้มกับที่ลงทุนไปรึเปล่า คุณก็ไม่รู้จักห้ามลูก แถมยังไปสนับสนุนอีก ถ้าขาดทุนคราวนี้ มีหวังคุณพ่อไม่ยอมแบ่งมรดกให้กับพวกเราแน่" นายแพทย์วิญญู บริสุทธิกุล  ผู้มีฐานะด้อยกว่าภรรยาทุกอย่าง มีดีแต่เพียงเรียนจบแพทย์เท่านั้น เพราะที่บ้านล้มละลายตั้งแต่เขายังเรียนไม่จบ พยายามดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้เหมาะสมเท่าเทียมกับภรรยา

แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ ก็เหมือนจะไม่ดีสมใจครอบครัวเธอสักที

"ก็ลูกเขารัก เขาชอบ ผมอยากให้คุณให้ความสำคัญกับความสุขของลูก มากกว่าอะไรทั้งหมดนะ"

"แล้วยังไง! แล้วเราก็ต้องมากัดก้อนเกลือกินกันแบบนี้ต่อไปนะเหรอ ลงทุนให้จมทุนแล้วให้พี่ชายของฉันเข้ามาช่วยเอาไว้ เพื่อให้เขาได้หน้ากับคุณพ่อไป อย่างนั้นนะเหรอ!" สำหรับวิญญูแล้ว เขารู้สึกว่า ภรรยาเป็นผู้หญิงที่มองโลกในแง่ร้ายมากที่สุดคนหนึ่ง

ขนาดพี่ชายของเธอยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอยังไม่รู้สึกขอบคุณ แต่มองเขาไปอีกทาง เขาก็จนปัญญาที่จะอธิบายให้เธอเข้าใจแล้ว

"แล้วคุณจะทำยังไง จะไปบังคับลูกยังไง ปล่อยให้เขากลับไปใช้ชีวิตไกลบ้านที่สวิตซ์เหมือนเดิมไหมล่ะ"

"นี่คุณอย่ามาแช่งกันสิ ไม่ช่วยแล้วยังจะแช่งอีกเหรอ ไม่รู้ล่ะ...ยังไงเราก็ต้องหาผู้หญิงที่เพียบพร้อมและคู่ควรให้กับลูกชายของเราให้เร็วที่สุด

เพราะว่าดูจากที่ตากิตพาคู่หมั้นออกงานเมื่อคืนนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณพ่อพอใจแค่ไหน จากที่จะไม่ยอมไปงานวันเปิดตัวโรงพยาบาลของเรา ท่านก็ยังยอมไปเพียงเพราะรู้ว่าหลานชายคนโปรดจะพาว่าที่หลานสะใภ้ออกงานเป็นครั้งแรก...คราวนี้มรดกจะตกเป็นของใคร ไม่ต้องเดาก็รู้แล้ว!"

นายแพทย์วัยเกษียณถอนหายใจออกมา ความรุ่มร้อนของภรรยาสะเทือนมาถึงเขาได้เสมอ หากแต่จะให้เขาไปทำอะไรเหมือนเธอ เขาคงทำไม่ได้

"แต่ดูจากงานเปิดตัวที่โรงพยาบาลวันนั้น ลูกชายเราเขาน่าจะพอใจผู้หญิงคนหนึ่งอยู่นะ"

"โอ๊ย ลูกสาวชาวบ้านธรรมดา จะเอามาเป็นสะใภ้เราได้ยังไง คุณบอกลูกเลยว่าห้ามไปยุ่งกับใคร เดี๋ยวฉันจะหาคนที่คู่ควรเอาไว้ให้เอง"

"คุณก็พูดอย่างกับลูกชายเรา เขาจะยอมฟังคุณง่ายๆ อย่างนั้นแหละ ตาวิชญ์มีความเป็นตัวเองสูงจะตาย"

"ไม่รู้แหละ ถึงยังไง สะใภ้ของบริสุทธิกุล ก็ต้องคู่ควรและเพียบพร้อมเท่านั้น!" วรวิชญ์เดินเข้ามาได้ยินในสิ่งที่มารดาพูดเข้าพอดี ทำให้เขารู้เลยว่าสิ่งที่เตรียมจะมาขอมารดาเรื่องหาตำแหน่งให้ผู้หญิงที่เขาพอใจ ไม่น่าจะเป็นผลแล้ว...

"ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ"

"โอ๊ย ไม่เป็นไรเลยค่ะ...ขอบคุณมากๆ นะคะที่พยายามช่วย แค่รู้ว่าคุณวิชญ์ต้องลำบากขนาดนั้น แนนก็รู้สึกเกรงใจจะแย่แล้วค่ะ" วรวิชญ์นัดเธอออกมาที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในตัวอำเภอ หลังจากที่ทั้งคู่ไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ

"แล้วคุณแนนสนใจที่จะทำงานตำแหน่งอื่นดูไหมละครับ ที่ไม่ใช่เลขา ถ้ามีตำแหน่งอื่นว่าง เดี๋ยวผมช่วยคุยให้"

"โอ๊ย ไม่ลำบากดีกว่าค่ะ แนนกลัวทำงานอย่างอื่นได้ไม่ดีเพราะไม่มีประสบการณ์ พอดีว่ามีเรียกเข้าทำงานจากบริษัทที่แนนไปสัมภาษณ์เอาไว้พอดี แนนทำงานที่แนนถนัดดีกว่าค่ะ" ชายหนุ่มตกใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน

"จริงเหรอครับ? หมายความว่า...คุณแนนจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพเหรอครับ?" เธอรีบพยักหน้าเชิงเสียดาย เพราะเอาจริงๆ ก็รู้สึกใจหาย เธออยากทำงานใกล้บ้านมากกว่า

"ใช่ค่ะ เขาเสนอเงินให้เยอะด้วย แนนรู้สึกโอเคนะคะ แล้วค่อยหาเวลากลับบ้านเดือนละครั้งเอา" ด้วยความรู้สึกที่สนิทกันมากขึ้น ทำให้นันรดาสบายใจที่จะเล่าชีวิตส่วนตัวให้เขาฟัง

"เสียดายนะครับ ผมคงได้เจอคุณแนนน้อยลง" นัยน์ตาเศร้าของชายหนุ่มผู้สะอาดสะอ้าน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทำเอาหญิงสาวเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

"ก็มาดูกันค่ะว่า ระยะทางและเวลา จะทำให้เราสองคนสนิทกันน้อยลงไหม" ตอนนี้ระหว่างเธอกับเขา ยังไม่ได้ตกลงเรื่องสถานะกัน แค่อยากจะเรียนรู้กันและกันเป็นเพื่อนกันไปก่อน เพื่อให้รู้สึกสบายใจทั้งสองฝ่าย ซึ่งเขาและเธอต่างก็เห็นด้วย

"สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะระยะทางหรือเวลา ก็ทำอะไรความรู้สึกผมไม่ได้หรอก ถ้าคุณกลับมาไม่ได้ ผมก็จะเดินทางไปหาคุณเอง" เขาเล่าให้กับเธอฟังตั้งแต่แรกแล้วว่า  เขาไม่ชอบใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร จึงขอบิดาว่าอยากจะมาเปิดโรงพยาบาลอยู่ที่อำเภอนี้ เพราะว่าเขาเรียนจบด้านการบริหารโรงพยาบาลมาโดยเฉพาะ ส่วนโรงพยาบาลอื่นๆ เขาขอบริหารผ่านทางไกลแทน

ซึ่งแม้มารดาจะขัดข้องบ้างแต่บิดาคอยหนุนหลังเขาอย่างเต็มที่ ผู้ชายที่เติบโตมาท่ามกลางความรักของบิดามารดาแบบนี้ ทำให้เธอไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเขาถึงได้ดูอบอุ่นและสุภาพได้ขนาดนี้

"ขอบคุณที่แสดงความจริงใจนะคะ" เธอรับรู้ได้ ว่าเขาสื่อความหมายมากกว่าเพื่อนมาตลอด แต่เธอไม่อยากจะปักใจนักเพราะเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ถ้าห่างไกลกันแล้วเขายังมั่นคงอยู่ เธอถึงจะเริ่มพิจารณาเขาอีกที

"ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้แสดงความจริงใจนะครับ" รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ทั้งสองต่างก็ส่งให้กัน ฟุ้งไปทั่วคาเฟ่ ที่ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านสักเท่าไหร่

และทั้งสองไม่รู้เลยว่ามุมหนึ่งของคาเฟ่ มีคนนั่งจิบกาแฟ ใส่แว่นตาดำ สวมหมวกแอบฟังอยู่

เลี่ยนฉิบ คนแอบฟังลอบคิด และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้ตัวเองได้ใจเย็นกว่านี้ เพราะเขาจะเดินเข้าไปกระชากเธอติดมือกลับกรุงเทพมหานครด้วยกันซะเดี๋ยวนี้

เขาจ้องเธอมาเป็น 10 ปี ไอ้ลูกพี่ลูกน้องหน้าอ่อนคนนี้ จะมาชุบมือเปิบได้ยังไง!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel