บทที่ 10 เงินสิบล้าน
ยอดเงินเข้าบัญชี 5,000,000 บาท+$#%&&
นันรดาวางสายจากวรวิชญ์ที่ขออนุญาตโทรมาและคุยกันสักพัก ก่อนจะตกใจกับการแจ้งเตือนที่ค้างอยู่บนหน้าจอ
"ห้าล้าน!" เธอรีบกดเข้าไปอ่านข้อความของเสี่ยด้วยความตกใจทันที
เสี่ย: โอนได้แค่ 5 ล้านก่อนนะ พรุ่งนี้จะเพิ่มให้อีก 5 ล้าน ไม่สะดวกให้เช็ค สะดวกโอน
หญิงสาวรีบขยี้สองตา เพราะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น มีคนที่ยอมโอนเงินให้คนอื่นง่ายๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เขียนสัญญาอะไรสักอย่างจริงๆ เหรอ
นี่เธอควรจะดีใจกับเงินจำนวนมากนี้หรือว่ากลัวก่อนดี นี่มันหมายความว่าเขากำลังมัดมือชกเธออยู่เลยนะ!
แนน: เสี่ยโอนมาทำไมคะ หนูยังไม่ได้ตกลงเลย
เสี่ย: เสี่ยไม่รีบ ให้เวลาหนูคิดให้ดี ตัดสินใจยังไงได้ก็ค่อยบอกเสี่ยละกัน
แนน: เสี่ยไม่กลัวหนูโกงเหรอคะ
เธอรู้สึกร้อนใจไปหมด การมีเงินจำนวนมากในบัญชีแบบนี้ ไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิดเอาไว้
เสี่ย: เสี่ยมั่นใจว่าเสี่ยดูคนไม่ผิด เสี่ยรอหนูมาได้ตั้ง 10 ปี รอต่ออีกหน่อย ไม่น่าจะเสียหายอะไร
คำพูดของเขาเหมือนคนแก่ที่ผ่านโลกมามากและดูพร้อมที่จะทำเพื่อเธอทุกอย่างจริงๆ จนใจหญิงสาวไหวยวบ เอาจริงๆ เธอก็รู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อยเหมือนกัน
'อะไรนะ! สิบล้าน!'
เสียงตะโกนจากปลายสาย ทำให้นันรดาขยับโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อย ก่อนจะรีบตอบคำถามเพื่อนด้วยความรู้สึกไม่สบายใจนัก
"เออดิ ทีแรกคิดว่าการมีเงินเยอะจะสบายใจ ที่ไหนได้ทุกข์ฉิบหายเลย"
'จริงเหรอ ถ้าแกทุกข์มากแกโอนมาให้ฉันก่อนไหม ถ้าแกไม่มีปัญญาชดใช้ เดี๋ยวฉันชดใช้แทนให้เอง พร้อมหย่าผัวมากตอนนี้!' น้ำเสียงจริงจังไม่มีเล่นของโสพรรณทำเอาเธอตกใจไม่น้อย เพราะปกติโสพรรณไม่ใช่คนที่จะเห็นแก่เงินสักเท่าไหร่
"เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอ"
'เออดิ เงิน 10 ล้านไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะเว้ย ฉันกับผัวทำงานกันมางกๆ 10 ปีรวมกัน ได้ยังไม่ถึง 10 ล้านเลย ส่วนเรื่องเงินเดือนละ 2 แสนนะ ฉันยอมขายอิสระทุกอย่างในชีวิตเพื่อครอบครองมันเลย เพราะกว่าจะได้เงินมาเป็นแสน แกก็ต้องแลกกับอะไรมากมาย รวมไปถึงอิสระที่ทำให้แกลังเลด้วย'
ถือว่าเป็นงานใหญ่พอสมควรสำหรับนันรดา เพื่อนรักที่พอจะยุยงส่งเสริมให้เธอรักศักดิ์ศรีไม่ไปเป็นเมียเก็บใครตั้งแต่ต้น ดันมาเปลี่ยนคำพูดแบบนี้ เธอจะดึงสติตัวเองต่อไปได้ยังไงล่ะ
"แล้วคุณวิชญ์ล่ะ?" เอาจริงๆ เขาน่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เธอไม่กล้าตัดสินใจ มากกว่าอะไรทั้งหมด
โดยเฉพาะบทสนทนาก่อนที่จะวางสายจากกัน เขากับเธอวางแผนว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน เขาจะขึ้นมาหาเธอที่กรุงเทพฯ
'โอ๊ย รายนั้นนะ ฉันดูทรงแล้ว คงขัดใจแม่ไม่ได้ วันนั้นฉันเห็นแม่เขามาแผลงฤทธิ์ที่โรงพยาบาล พาผู้หญิงมาหาลูกชายมั้ง ฉันว่าแกน่าจะผ่านด่านยากว่ะ เผลอๆ อาจจะลำบากกว่าเดิม'
เอาแล้วไง ไม่มีคนคอยเชียร์วรวิชญ์แล้ว น้ำหนักในการตัดสินใจเรื่องเสียก็ยิ่งเหมือนจะรู้ทิศทางในการเลือกมากขึ้น
'บางครั้งชีวิตคู่ก็ไม่ใช่เรื่องของคนสองคนเสมอไป แกอาจจะเข้ากับเขาได้ดีมาก แต่ถ้าเข้ากับพ่อแม่เขาไม่ได้ แกก็ไม่มีวันมีความสุขหรอก สู้ไปนอนใช้เงิน 10 ล้าน เอาเงินเดือนละ 2 แสน ช๊อปปิ้งไปวันๆ ไม่ได้หรอก'
"แต่ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าเสี่ยเลยนะ ถ้าเขาทั้งแก่ ทั้งอ้วนหรือว่า...นิสัยไม่ดีล่ะ"
'แกก็หลับๆ หู หลับๆ ตาไป...เขาแก่ขนาดนี้เรื่องพรรค์นั้นคงจะไม่เท่าไหร่แล้ว เผลอๆ อาจจะไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ'
โสพรรณพูดเหมือนเป็นเรื่องง่าย เพราะผ่านการแต่งงานมาแล้ว ผิดจากเธอแฟนที่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกัน เธอยังไม่มีสักคนเลยนะ!
"แกก็พูดง่าย ฉันไม่เคยนะเว้ย"
'เอาน่า พอแกได้ลองจริงๆ แกจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไหร่หรอก ความหล่อก็ไม่ได้สำคัญ เชื่อฉันกอดเงิน 10 ล้านเอาไว้ แล้วลืมความลำบากทุกอย่างไปซะ ไม่ต้องดิ้นหรอก มันเหนื่อย' คำพูดที่ดูแปลกๆ ของโสพรรณในวันนี้ ทำให้เธอต้องย่นคิ้วเข้า
"แกมีไรเปล่าเนี่ย ทำไมวันนี้ดูใส่อารมณ์จัง"
'เฮ้อ ก็จะอะไรล่ะ ทะเลาะกับผัวเรื่องเงิน เรื่องธุรกิจ อะไรที่คิดว่ามันจะสวยงาม มันก็ไม่ได้สวยงามเสมอไปหรอกแก'
"ขอโทษนะ ที่เอาเรื่องตัวเองมารบกวนแกอีก" นันรดารู้สึกผิดจริงๆ เพราะเวลาที่โสพรรณมีปัญหาอะไร เธอไม่เคยโทรมาเล่าให้เธอฟังเลย
'โอ๊ยไม่เป็นไรหรอก ฉันยินดีมาก มีอะไรโทรหาได้ตลอด เรื่องชาวบ้านฉันชอบ' แล้วปลายสายก็ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน สองสาวปรึกษากันอยู่สักพัก ก็ต่างวางสายไป ปล่อยให้คนที่กำลังครุ่นคิดตัดสินใจ จมอยู่กับความคิดลำพัง
สองวันต่อมา
นันรดาทำงานไปตามปกติ โดยใช้ความอดทนค่อนข้างสูง ในการรับมือกับเรื่่องราวต่างๆ
แปลก ที่ความอดทนของเธอมีมากกว่าปกติ งานที่ว่ายากเริ่มรับมือง่ายขึ้น เพราะเธอมืออาชีพอยู่แล้ว
"ใช้ได้นะเนี่ย เธอแปลเอกสารเก่งมาก" เคียวโกะชื่นชมเธอจากใจ หลังจากฝ่ามรสุมงานแปลและการพบปะลูกค้ามาด้วยกันหลายวัน ความตึงเครียดต่างๆ ก็เริ่มที่จะคลี่คลาย นันรดารู้สึกหายใจหายคอคล่องขึ้น
วันนี้แล้ว ที่เธอตัดสินใจจะให้คำตอบกับเสี่ย โดยคิดทบทวนว่าถ้าเธอทำงานอยู่ที่นี่ได้ เงินเดือน 7 หมื่นก็เหลือกินเหลือใช้
เธอไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องไปใช้เงินเดือนละ 2 แสน หรือมีเงินก้อนถึง 10 ล้าน
เรื่องรถเธอก็มีขับแล้ว เรื่องคอนโดเธอก็ไม่รีบเท่าไหร่ ค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ หาไป เงินเดือนตั้ง 7 หมื่น ทำได้สบายอยู่แล้ว
"คุณเคียวโกะ มีอะไรให้หนูทำอีก บอกได้เลยนะคะ"
"มีๆ เที่ยงนี้มีทานข้าวกับท่านประธาน ช่วยไปแปลด้วย ท่านประธานน่าจะอยากรู้จักเธอให้มากขึ้น" เธอพยักหน้ารับคำพร้อมเตรียมดูตารางงานของคุณเคียวโกะในวันนี้
"แต่ท่านประธาน พูดภาษาญี่ปุ่นออกไม่ใช่เหรอคะ" หญิงสาวว่าด้วยความรู้สึกกลัวๆ กล้าๆ
ยอมรับเลยว่าเหตุการณ์ในห้องประชุมวันนั้น เขย่าขวัญเธอพอสมควร ผู้ชายที่ดูมีอิทธิพล น่าเกรงขาม หรือเรียกรวมๆ ก็คือหน้ากลัวนั่นแหละ เธอไม่เคยเจอเขาอีกและไม่อยากเจอด้วย
พอจะมีทางไหนไหมนะ ที่เธอจะหลีกเลี่ยงได้ ?
"พูดได้ก็จริง แต่ก็น่าจะอยากทำความรู้จัก เผื่อเอาไว้ใช้งาน ได้เจอท่านประธานนี่มีบุญนะ ปกติท่านประธานไม่ค่อยจะพบใครง่ายๆ" เจ้านายสาวชาวญี่ปุ่น พูดรัวปรื๋อ พูดถึงท่านประธานใหญ่ด้วยความรู้สึกชื่นชมจากใจ แต่หารู้ไม่ว่าเธออยากจะหมดบุญเดี๋ยวนี้ เพราะไม่อยากจะเจอคนอย่างเขา!
"พูดถึงผมกันอยู่เหรอ" แต่แล้วน้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
นันรดารู้สึกได้ถึงความชาตั้งแต่ปลายเท้า ลามขึ้นมาถึงใบหน้าของตัวเองได้อย่างชัดเจน สัญญาณชีพจรทั่วร่างของเธอเต้นแรงมากกว่าปกติ
"ท่านประธาน!" เคียวโกะว่าด้วยความรู้สึกดีใจ รีบวิ่งไปหาเขาทันที ส่วนนันรดานะหรือ ร่างของเธอเหมือนถูกแช่แข็ง ขยับไปไหนไม่ได้ อย่าว่าแต่ตอบคำถามของเขาเลย แค่ขยับตัวให้ได้สักนิด เธอยังขยับไม่ออก!
