ไม่ถูกชะตา
“หนูฟ้าใส เราเจอกันครั้งก่อนหนูเพิ่งเรียนจบมอหก ใช่ไหมจ๊ะ?” คุณหญิงกานดาหันไปถามลูกสาวของเพื่อนเก่าแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คล้ายกับพึ่งพอใจหากได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ เพราะท่าทางกิริยามารยาททั้งสุภาพเรียบร้อยมารยาทงามสมเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม
“ใช่ค่ะ” ฟ้าใสตอบพลางพยักหน้าช้าๆแล้วยิ้มบางๆ แล้วมารดาของเธอก็รีบพูดเสริมขึ้นมา
“เวลาผ่านไปเร็วมากเลยใช่ไหมล่ะคะ ลูกฟ้าใสน่ะพอเรียนจบแพทย์ใช้ทุนแล้วก็ไปเรียนต่อเฉพาะทาง ชีวิตวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องเรียนกับเรื่องทำงาน ไม่มีเวลาได้เจอใครนักหรอก เลยเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง”
”จะเป็นไรไป เดี๋ยวให้ตาคริตชวนคุยหน่อย ไม่นานก็คุยเก่งเองนั่นแหละ ใช่ไหมจ๊ะ ชาคริต?” คุณหญิงกานดาหันมาหาบุตรชายที่เอาแต่ทานอาหารอย่างเดียว ดูตะกละตะกลามจนน่าขายหน้า ท่านจึงใช้มือตีที่หน้าขาของลูกชายเบาๆ เพื่อเตือนให้เขาหยุดทานก่อน
ชาคริตจึงเคี้ยวอาหารจนหมดก่อนจะเปิดปากพูด
“ผมน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ คุยได้สบายมาก แต่ต้องถามกลับว่าน้องฟ้าใส อยากคุยกับผมหรือเปล่าครับ?” ท้ายประโยคชาคริตเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหญิงสาวที่นั่งตรงข้าม เธอไม่ได้หลบตาเขาแต่จ้องตาสู้กลับอย่างไม่ยอม
“ฟ้ายินดีค่ะ ถ้าคุณชาคริตอยากคุยด้วย” เธอพูดพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แต่คำพูดคำจารักษาระยะห่างซะเหลือเกิน
“ผมคุยเก่งมากนะ น้องฟ้าใสจะไหวเหรอครับ?”
“แค่คุย มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไหวเหรอคะ?”
“เพราะพี่ไม่ได้คุยแบบธรรมดาทั่วไปน่ะสิ อาจจะเป็นแนวที่น้องฟ้าใสไม่ชอบหรือสนใจ แบบนั้นจะไหวไหมครับ?” ชาคริตยกยิ้มที่มุมปากพร้อมมองหญิงสาวอย่างมีเลศนัย
“คุณชาคริตลืมไปหรือเปล่าคะ ฟ้าเป็นหมอนะคะกับคนบ้าก็เคยคุยมาแล้ว คิดว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายกว่านั้นแล้วล่ะค่ะ” แม้จะดูเป็นคนเรียบร้อยแต่คำพูดที่ใช้โต้ตอบเชือดเฉือนแสดงให้เห็นชัดว่าไม่ใช่คนยอมอะไรง่าย ๆ แบบนี้ก็ยิ่งน่าสนุก
‘ผมนี่ไงเลวร้ายกว่าคนบ้า คุณหมอควรอยู่ห่าง ๆเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะถูกจับกินไม่รู้ด้วยนะ’ เป็นประโยคที่ชาคริตแค่คิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป
“หวังว่าจากนี้ เราจะพูดคุยและเข้ากันได้ดีนะครับ” เขาพูดทั้งที่ในหัวคิดอีกอย่าง ไม่มีทางที่เขาจะพูดจาภาษาเดียวกันกับยัยหมอเฉิ่มนี่ได้…ไม่มีวัน!
“ยินดีค่ะ”
‘ยินดีกับผีน่ะสิ’ … นี่เธอกำลังถูกเขายั่วโมโหกวนประสาทอยู่แน่ ๆ ดูท่าทางผู้ชายคนนี้ต้องร้ายกาจมาก ฟ้าใสจะรับมือเขาไหวหรือเปล่านะ
แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะไม่ยอมแต่งงานกับเขาเพราะนอกจากจะรู้สึกไม่ถูกชะตากับเขาตั้งแต่แรกเห็น เธอยังได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเขาอีกซึ่งเธอเกลียดพวกสูบบุหรี่มากที่สุด
ฟ้าใสอยากจะถอนหายใจแต่ก็ต้องทนปั้นหน้ายิ้มเอาไว้ ทนอีกนิดเดียวอาหารมื้อนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว แต่เหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคุณป้ากานดากับมารดาของเธอ ได้สั่งขนมหวานมาทานกันต่อทำให้ต้องทนนั่งไปอีกครึ่งชั่วโมง
“หนูฟ้าใสได้ข่าวว่าเปิดโรงพยาบาลศัลยกรรม เป็นยังไงบ้างจ้ะ?” คุณหญิงกานดาถามขึ้นหลังจากที่ทานอาหารคาวเรียบร้อยและกำลังรอของหวานมาเสิร์ฟ
“ที่จริงโรงพยาบาลเปิดมาได้เกือบปีแล้วล่ะค่ะ ก็เริ่มมีคนไข้เยอะขึ้นค่ะ”
คุณหมอฟ้าใสเรียนจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางศัลยกรรมตกแต่งหรือศัลยศาสตร์ตกแต่ง เธอเป็นเจ้าของโรงพยาบาลศัลยกรรมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด ติดหนึ่งในสามของประเทศ เป็นคุณหมอมากฝีมือโด่งดังเรื่องการเสริมอัปไซซ์เต้านม เป็นที่รู้จักของสาว ๆ ที่ใฝ่ฝันอยากเพิ่มขนาดหน้าอก
แต่กว่าจะเปิดโรงพยาบาลของตัวเองได้ เธอต้องผ่านอุปสรรคปัญหามากมายกว่าคนในครอบครัวจะยอมรับ และกลายเป็นหน้าเป็นตาให้แก่วงศ์ตระกูล หญิงสาวต้องแบกรับความกดดันทั้งภาระงานบริหารโรงพยาบาลในเครือและต้องดูแลโรงพยาบาลศัลยกรรมของตัวเองด้วย
ไม่มีเวลาสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ กับหนุ่มคนไหนแต่ความจริงแล้วเธอไม่อยากมีแฟนมากกว่า หญิงสาวเป็นพวกกลัวความรักกลัวความเจ็บปวด คติประจำใจคือ มีรักที่ใดย่อมมีความทุกข์และปัญหาตามมา และนั่นคืออุปสรรคของความก้าวหน้าในชีวิตการงาน
“นี่ป้าคิดว่าอยากจะไปฉีดโบท๊อกซ์สักหน่อย หรือป้าควรจะดึงหน้าดีจ๊ะ หมอฟ้าใสช่วยแนะนำป้าหน่อยสิจ๊ะ”
“หน้าคุณป้ายังตึงอยู่เลยค่ะ ไม่ต้องถึงกับผ่าตัดแค่ฉีดฟิลเลอร์ก็ช่วยให้ริ้วรอยพวกร่องแก้มหายไปได้ค่ะ”
“อุ้ย น่าสนใจมากเลยจ้ะ”
“ดูสิคะ นี่หน้าฉันก็ฉีดเติมทุกหกเดือนเลยนะคะ ริ้วรอยแทบไม่มีสักเส้น” คุณผกายื่นหน้าไปอวดรุ่นพี่อย่างภาคภูมิใจ หลังจากนั้นก็พูดคุยกันอีกพักใหญ่กว่าจะแยกย้ายกลับก็เกือบสองทุ่ม
