4. เสียดาย
“ถ้าฉันรู้ว่าจะขึ้นไปเจอเจ้าของห้องหล่อขั้นเทพแบบนั้นนะ ฉันจะไม่พอกหน้า ไม่ใส่ชุดซังกะบ๊วยนั่นขึ้นไปให้เขามองเด็ดขาด โธ่เอ๋ย..ป่านนี้ เขาต้องจดจำภาพยัยเพิ้งของฉันจนติดตาแน่เลย”
ฝนทิพย์ คร่ำครวญด้วยความเสียดาย หลังจากเล่าเรื่องที่เธอขึ้นไปเจอผู้ชายหน้าหล่อห้องข้างบนให้กับชมพู่ เพื่อนรักฟัง
ฝนทิพย์ กับ ชมพู่ เป็นเพื่อนสนิทที่เพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ชมพู่ เช่าหอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย เธอเป็นเด็กสาวที่มาจากต่างจังหวัดเช่นเดียวกับฝนทิพย์ วันนี้ ทั้งคู่นัดกันมาดูหนังก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
“สมน้ำหน้า ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้ว ให้เอาชุดนอนทุเรศ ๆ นั่นทิ้งไป เธอก็ไม่เชื่อ ไม่รู้ว่าพิศวาสอะไรนักหนากับผ้าขี้ริ้วนั่น ทำยังกะไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ทั้งที่ชุดดี ๆ ก็มีตั้งเยอะแยะ”
ชมพู่ ไม่เข้าใจเพื่อนรักที่ครอบครัวฐานะดี มีเสื้อผ้าดี ๆ มากมาย แต่ชุดที่ใช้ใส่นอนกลับใส่แต่ชุดเก่า ๆ
“ฉันลองใส่ชุดดี ๆ นั่นแล้ว มันนอนไม่หลับเหมือนชุดที่ใส่ประจำนั่นน่ะสิ” ฝนทิพย์ สารภาพ
“ก็เอาไว้ใส่ตอนนอนไม่มีคนเห็นสิ ใครสั่งใครสอนให้ใส่ออกไปโชว์นอกห้องล่ะ ชุดนั้นมันเหมาะสำหรับเอาไว้ใช้ไล่ผู้ชายที่เราจะโล๊ะทิ้งอยู่แล้ว ให้ออกไปจากชีวิตย่ะ”
ชมพู่ บอก
“เออ! ฉันพลาดเอง เรื่องชุดว่าน่าเกลียดแล้วนะ แต่เรื่องที่พอกหน้านี่สิ ยิ่งหนักกว่า เธอรู้ไหมว่าเป็นเพราะเธอคนเดียวที่แนะนำให้ฉันใช้ดินสอพองผสมน้ำมะนาวพอกหน้า”
ฝนทิพย์ เริ่มโทษเพื่อน
“อ้าว..ก็เธอบอกว่าหน้ามัน กลัวจะเป็นสิว ฉันก็แนะนำสูตรที่ฉันใช้ได้ผลให้ไป ไม่ดีรึไง”
“ไอ้ดีมันก็ดีหรอกนะ ถ้าเกิดว่าฉันพอกหน้า แล้วอยู่ในห้อง ไม่ออกไปเสนอหน้าให้คนอื่นเห็น แล้วเธอรู้ไหมว่าช่วงที่ฉันไปถึงหน้าห้องของอีตาสุดหล่อนั่น เป็นจังหวะที่ดินสอพองมันกำลังจะแห้งพอดี”
“ฉันพอจะนึกออกหรอก เวลาที่ดินสอพองมันใกล้จะแห้งนะแกเอ๊ย..อย่าได้พูดหรือยิ้มเชียว มันจะแตกระแหงแห้งแล้งยังกะดินที่เอธิโอเปียเลยล่ะ”
ชมพู่ พูดกลั้วหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิ!..หน้าฉันงี้ ลายพร้อยเป็นลายตุ๊กแก ตอนที่ฉันลงมาที่ห้องถึงกับร้องกรี๊ดเลยล่ะ”
“ร้องทำไมยะ..เจอแมลงสาบอยู่ในห้องเหรอ”
“บ้า!..แมลงผีอะไรล่ะ ฉันตกใจหน้าตัวเองตอนที่ส่องกระจกต่างหากล่ะ”
“เธอยังตกใจหน้าตัวเองขนาดนั้น ก็คิดดูว่าคนอื่นจะตกใจขนาดไหน”
“อย่าซ้ำเติมได้ไหมยัยชมพู่ ฉันยิ่งกลุ้มอยู่ นี่ถ้าฉันไม่ไปปิ๊งอีตาหน้าหล่อนั่น ฉันจะไม่เจ็บใจตัวเองเท่านี้หรอก”
ฝนทิพย์ พูดด้วยความเสียดายไม่หาย
“อยากจะแก้ตัวใหม่ไหมล่ะ” ชมพู่ถามหยั่งเชิง
“ทำไง”
“หล่อนก็ใส่ชุดที่มันดูดี แต่งหน้าทำผมสวย ๆ แล้วขึ้นไปหาเขาที่ห้อง ไปขอโทษเขาที่หล่อนทำกิริยาไม่ดี แค่นี้เขาก็เห็นภาพใหม่ที่สดใสของเธอแล้วล่ะ” ชมพู่แนะนำ
“มันเหมือนขึ้นไปอ่อยผู้ชายยังไงอยู่นะ ขืนทำอย่างที่เธอแนะนำ เขาต้องรู้ทันแน่เลยว่า...ฉันปิ๊งเขาอ่ะ”
ฝนทิพย์ ชักกังวลใจ
“ถึงจะรู้ทันก็แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ใครจะทำไมล่ะ ก็เธอปลื้มเขาไม่ใช่เหรอ อยากจะมีแฟนหล่อ ก็ต้องขึ้นไปล่อ เอ๊ย!ขึ้นไปอ่อยแบบนี้แหละ”
“จะบ้าเหรอ..ถึงฉันอยากจะกรี๊ดความหล่อของเขาก็แค่เก็บไว้กรี๊ดในใจคนเดียว ไม่ได้ใจกล้าหน้าด้านขนาดขึ้นไปจีบผู้ชายก่อนนะยะ”
ฝนทิพย์ ค้อนเพื่อน
“จ้าแม่คนหน้าบาง เพราะว่าหล่อนไม่กล้าแบบนี้ไงถึงได้ถูกยัยปูเป้ งาบนายนิวไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่นายนิว เป็นฝ่ายมาจีบหล่อนก่อนแท้ ๆ ยังปล่อยให้หลุดมือไปได้ เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะปกป้องสิทธิตัวเองสุดฤทธิ์เลยล่ะ”
ชมพู่ จีบปากจีบคอพูดถึงเพื่อนชายหญิงร่วมคณะที่จบการศึกษาพร้อมกันในปีนี้
“สิทธิ์อะไรยะ”
“อ้าว..ก็สิทธิ์ที่เขามาจีบเราก่อนไง จีบก่อนมีสิทธิ์ก่อน”
“ฉันไม่สนใจหรอก เพราะนายนิวนั่นไม่ใช่สเป็คฉัน ฉันยกให้ยัยปูเป้ไปน่ะดีแล้ว เขาหล่อเท่ไม่ได้เท่าครึ่งหนึ่งของคนที่ฉันเล่าให้เธอฟังหรอกนะ เขาคนนั้นของฉันหล่อเหมือนดาราเกาหลี คนที่ฉันกำลังปลื้มอยู่พอดีเลยล่ะ”
ฝนทิพย์ ทำหน้าตาเพ้อฝัน นึกภาพใบหน้าของหนุ่มห้องข้างบนด้วยความกระชุ่มกระชวยในหัวใจ
“อีตา ลีซอฮกเกี้ยน อะไรของเธอน่ะเหรอ”
ชมพู ถามล้อเลียน
“ลีซูฮวาน ย่ะ เรียกพระเอกของฉันให้มันถูก ๆ ด้วยยัยบ๊อง”
“ชักอยากจะเห็นหน้าซะแล้วสิ เห็นทีฉันจะต้องแวะไปเยี่ยมเธอที่คอนโดนั่นซะแล้ว ฉันจะแกล้งเดินไปเคาะประตูห้องขอดูหน้าผู้ชายคนนั้นหน่อย ว่าหล่อเหมือนลีซูฮวาน จริงรึเปล่า”
“อย่าเชียวนะยัยชมพู่ ขืนทำแบบนั้นเธอจะถูกเขาดูถูกเอาได้” อีกฝ่ายรีบร้องห้าม
“จะมาดูถูกเรื่องอะไร ฉันไม่ได้ขึ้นไปขอเป็นแฟนเขาสักหน่อย รับรองว่าฉันมีเทคนิคในการเข้าหาผู้ชายหล่อย่ะ”
ชมพู่ คุยสีหน้ามั่นใจมาก
“จ้า.. แม่คนมีเทคนิคสูง เห็นเก่งแต่ทฤษฏี จนป่านนี้ยังพาฉันโหนโตงเตงอยู่บนคานนี่ไง เพื่อนในห้องมีคู่กันตั้งแต่ปีหนึ่ง เธอกับฉันนี่จนเรียนจบแล้ว หาผู้ชายมายาไส้สักคนมีมั่งไหมเนี่ย”
ฝนทิพย์ แขวะเพื่อนน้ำเสียงขบขันมากกว่าจะจริงจัง
“ก็หล่อนชอบทำเชิดหยิ่งใส่เวลาผู้ชายมาจีบ แล้วใครที่ไหนมันจะทนท่าทางยะโสได้ล่ะยะ นี่ถ้าหล่อนไม่หวงเนื้อหวงตัวจนเกินเหตุ ป่านนี้มีแฟนไปตั้งนานแล้ว”
ชมพู่ หาข้อผิดพลาดให้เพื่อน
“ฉันเป็นลูกกตัญญูย่ะ เชื่อคำสั่งสอนของพ่อแม่ไม่ยอมที่จะพลีกายให้ชายใดเชยชมได้ง่าย ๆ ผู้ชายคนไหนที่หวังมาจีบเราแล้ว ต้องมีอะไรด้วยจึงจะตกลงเป็นแฟนน่ะ แม่บอกว่าผู้ชายคนนั้น ไม่ได้รักเราจริง” ฝนทิพย์ว่า
“ก็เพราะเธอกับฉัน มีแม่หัวโบราณสั่งสอนมาเหมือนกันแบบนี้น่ะสิ เราสองคน ถึงได้กินแห้วกันอยู่เนี่ย”
“แต่จะว่าไปก็ถูกของท่านเหมือนกันนะเธอ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูยัยสุกับยัยหนิงเป็นตัวอย่างสิ สองคนนั่นไปเช่าห้องอยู่กินกับผู้ชายตั้งแต่เรียนปีหนึ่งโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ แล้วเป็นไงล่ะ อยู่ได้ไม่กี่เดือน ผู้ชายก็ไปมีคนใหม่ จนเดี๋ยวนี้ยัยสุกับยัยหนิง เปลี่ยนแฟนปีละสองสามคน แล้วก็ยังหารักแท้ไม่ได้สักที”
“งั้นก็รอไว้พบรักแท้ดีกว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงามเนอะ เคยได้ยินสุภาษิตนี้ป่ะ”
“กลัวแต่พร้ามันจะขึ้นสนิมจนฟันไม่เข้าน่ะสิ ชาตินี้จะขึ้นคานกันรึเปล่าก็ไม่รู้” ฝนทิพย์ พูดกลั้วหัวเราะ
“ถึงจะขึ้นคานก็เป็นคานอันทรงคุณค่าย่ะ หญิงไทยอย่างเราต้องถือคติ งามอย่างมีคุณค่า”
ชมพู่ พูดปลอบใจเพื่อน
“มีค่ามาก ค่าใช้จ่ายนะ ทั้งค่าครีมบำรุงผิว ค่าลิปสติค น้ำหอม อาหารเสริมอีก เดือนนี้ว่าจะขอตังค์แม่เพิ่ม ไปทำเลเซอร์หน้าใสด้วยแหล่ะ จะได้ลบรอยสิวทันใจหน่อย ขืนมัวแต่พอกหน้าด้วยสูตรดินสอพองของเธอไม่ทันกินหรอก”
ฝนทิพย์ พูดจบก็หัวเราะร่วนโดยมีเพื่อนรักผสมโรงด้วย
“ดูหนังเสร็จ กินอาหารญี่ปุ่นกันไหม ฉลองกันก่อนกลับต่างจังหวัด” ชมพู่ชวน
“พอดีเย็นนี้พี่พร โทรมาให้ไปทานมื้อค่ำด้วย เธอจะไปกับฉันไหมล่ะ”
ฝนทิพย์ หมายถึงบ้านของพี่ชาย กับพี่สะใภ้
“พี่พร จะให้เธอกับฉันไปเป็นลูกมือทำอาหารด้วยป่าวล่ะ”
ชมพู่ นึกภาพที่ตัวเองกับฝนทิพย์ ต้องช่วยกันทำอาหารเวลาไปบ้านของกวี พี่ชายของฝนทิพย์
“ครั้งนี้คงไม่ต้องทำอาหารเองหรอก เห็นพี่พรบอกว่าสั่งมาจากที่ร้านน่ะ”
“ว๊าว!..จริงเหรอ แล้วได้ถามไหมว่าสั่งอะไรไปมั่ง”
ชมพู่ มีแววตาลิงโลดขึ้นทันใด
“เห็นแก่กินจริง ๆ นะเธอเนี่ย..เท่าที่รู้มี ปูอบวุ้นเส้นที่เธอชอบด้วยล่ะ ส่วนอย่างอื่นก็จะมีปลาเก๋าราดพริกของโปรดพี่กวี กุ้งผัดบล็อกเคอรี่ แล้วก็มีอีกสองสามอย่างพวกของหวานด้วยแต่ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ได้ยินพี่พรพูดให้ฟัง แต่จำไม่ได้”
“ทำไมถึงได้ทำอาหารเยอะแยะอย่างนั้นล่ะ ที่บ้านพี่ชายเธอจัดงานเลี้ยงอะไรรึเปล่า” ชมพู่สงสัย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ถาม แค่พี่พรโทรมาบอกรายการอาหาร ฉันก็น้ำลายไหล พลาดไม่ได้แล้วล่ะ แต่ถ้าจะให้เดานะ คิดว่าพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉัน คงจะได้เงินก้อนใหญ่จากการว่าความคดีดังนั่นก็ได้”
ฝนทิพย์ เดา
พี่ชายและพี่สะใภ้ของฝนทิพย์ เป็นทนายความ ที่เปิดสำนักงานกฎหมายรับว่าความทั่วประเทศ มีคดีใหญ่ ๆ อยู่ด้วย
กวีเป็นพี่ชายของฝนทิพย์ เกิดและโตที่อยุธยา แต่มาเรียนที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมต้น โดยสองพี่น้องพักอยู่ด้วยกันที่คอนโด แต่หลังจากกวีเรียนจบจนได้แต่งงานกับธันยพร ก็ไปซื้อบ้านอยู่กับภรรยา
ส่วนฝนทิพย์ ยังคงอยู่อาศัยที่ห้องชุดแห่งนี้เพียงลำพัง แต่ในบางครั้งบิดามารดามาทำธุระที่กรุงเทพฯ ก็จะแวะค้างด้วย แต่คนที่แวะมาค้างกับฝนทิพย์บ่อย ๆ ก็คือชมพู่ เพื่อนรักของเธอนั่นเอง
