18. หวุดหวิด
ตี๋ใหญ่ เปิดเพลงโอเปร่าทำเอาฝนทิพย์ขนลุกซู่ คงจะฟังไพเราะสำหรับคนที่ฟังเป็น แต่ฝนทิพย์หูไม่ถึงจึงค่อนข้างจะรู้สึกเครียดไปหน่อย ยิ่งฟังไปนาน ๆ ก็จะยิ่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนชักจะปวดหัวขึ้นมาจริง ๆ
“น้องฝนไม่สบายหรือเปล่าครับ”
ตี๋ใหญ่ หันมาถามคนนั่งข้าง ๆ ที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเพลงแนวอื่นฝนก็อาจจะดีขึ้นค่ะ”
ฝนทิพย์ บอกตามตรง คนเราถ้าไม่ได้รักใคร่ชอบพอก็กล้าพูดแบบนี้แหละ แต่ถ้าลองเป็นต้นกล้า เปิดเพลงโอเปร่ารับรองฝนทิพย์ ฟังไพเราะเสนาะโสตขึ้นมาทันที
“ตายจริง พี่ก็ลืมถามน้องฝนไปว่าชอบดนตรีแนวนี้ไหม”
ตี๋ใหญ่ รีบเปลี่ยนเพลงใหม่เป็นแนวฮาร์ดร็อกทันที
“ไม่ต้องเปิดเพลงก็ได้ค่ะ”
ฝนทิพย์ เสนอ ตี๋ใหญ่ก็เลยตามใจเธอ พอภายในรถเงียบเธอก็รู้สึกหายเครียดลงไปได้
“พี่ตี๋ใหญ่ถูกเฮียตงบังคับให้มารับฝนไปทานกลางวัน ใช่ไหมคะ”
ฝนทิพย์ ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย เธอถามเข้าประเด็นทันทีจนอีกฝ่ายวางหน้าไม่ค่อยจะถูก
“เปล่านะครับน้องฝน ทำไมน้องฝนต้องคิดว่าเตี่ยพี่จะบังคับด้วยล่ะ” เขาหันมาถาม
“เพราะฝนก็ถูกคุณแม่บังคับเหมือนกันน่ะสิคะ”
“น้องฝน...”
“ฝนพูดความจริงค่ะ..พี่ตี๋ใหญ่ก็คงจะรู้นะคะว่าพ่อแม่เราจับมัดมือชกที่จะให้เราได้แต่งงานกัน”
“เอ้อ..พี่ว่าเราอย่ามองเจตนาของผู้ใหญ่ไปแบบนั้นเลยท่านมีเจตนาดีอยากจะให้เราได้ลองคบหากันดู หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ฝนก็คงรู้พอ ๆ กับพี่ว่าเตี่ยพี่กับพ่อของน้องฝนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก เคยลำบากยากจนฝ่าฟันอุปสรรคทางการค้ามาด้วยกัน ก็เลยอยากจะให้ลูกของตัวเองได้เกี่ยวดองกันเป็นธรรมดา”
ตี๋ใหญ่ ดูจะเป็นผู้ใหญ่ และมีเหตุผลจนฝนทิพย์ ไม่กล้าที่จะโต้แย้งได้
“น้องฝนไม่โกรธพี่ใช่ไหมครับ”
ตี๋ใหญ่ หันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป
“ไม่หรอกค่ะ..”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็น่าที่จะลองเรียนรู้กันไปก่อนดีไหมครับ”
“พี่ตี๋ใหญ่แน่ใจนะคะ” ฝนทิพย์ย้อนถามเขา
“ทำไมล่ะครับ” ตี๋ใหญ่ถามเสียงขบขัน
“ก็เผื่อว่าพี่ตี๋ใหญ่เกิดไปปิ๊งปั๊งสาวที่ไหนเหมือน..”
ฝนทิพย์ เกือบพลั้งปากไปเสียแล้วไหมล่ะว่าเขาจะไปปิ๊งคนที่ถูกใจเหมือนที่เธอปิ๊งหนุ่มห้องข้างบนที่คอนโดเดียวกัน
“เหมือน..ใครครับ” ตี๋ใหญ่ถามด้วยความสนใจ
“เอ้อ..เหมือนเพื่อนของฝนค่ะ”
เธอไม่กล้าบอกตามตรงว่าเป็นตัวเอง
“ทำไมครับเพื่อนน้องฝนไปปิ๊งใครหรือครับ”
“อ๋อ..ก็ปิ๊งหนุ่มที่อยู่คอนโดเดียวกันน่ะค่ะ”
ประโยคนี้ไม่ได้โกหก ชัวร์!
“พี่เป็นคนที่ไม่ค่อยปิ๊งใครง่าย ๆ เสียด้วย คงไม่เป็นเหมือนเพื่อนน้องฝนหรอกครับ”
เขาบอกด้วยน้ำเสียงขบขัน แต่ฝนทิพย์แอบนึกในใจ เอาไว้ให้ตี๋ใหญ่ ถูกใจใครสักคนก่อนเถอะ แล้วจะเข้าใจว่าการที่เรารู้สึกปิ๊งใครขึ้นมานั้น มันเป็นอย่างไร
ต้นกล้า สะดุ้งตื่นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง
“ต้นขา..เปิดประตูให้อรหน่อยสิคะ ต้น!..”
เสียงของอรอนงค์นั่นเอง ต้นกล้า ผุดลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียง เขาหยีตามองนาฬิกาปลุกที่วางคู่กับโคมไฟมันเป็นเวลาตีหนึ่งยี่สิบนาที นั่นก็หมายความว่า เขาเพิ่งจะนอนหลับไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เพราะเสาวนีย์ กับนิษฐา เพิ่งจะกลับไปจากห้องเขาเมื่อตอนเที่ยงคืนครึ่ง หลังจากที่เขาทำอาหารให้กับทุกคนรับประทาน และเมื่อสองสาวกลับไปแล้วเขาก็รีบอาบน้ำเข้านอนโดยไม่ได้สนใจพูดคุยกับอรอนงค์เลย เขาให้อรอรงค์ พักที่ห้องติดกันกับเขา
“อรฝันร้าย.. อรกลัว…เปิดประตูให้อรหน่อยสิคะ”
เสียงอ้อนวอนของอรอนงค์ ทำให้ต้นกล้าเริ่มลังเล เขานึกไปถึงคำพูดของมารดาที่เตือนเขาไม่ให้มีอะไรกับอรอนงค์ เด็ดขาด
“อย่าไปหลงกลเสน่ห์ยัยอรเข้าล่ะ”
คุณชดช้อย บอกกับต้นกล้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เองที่เขาส่งข้อความไปถามมารดาทางมือถือ เรื่องที่บอกที่อยู่ของเขาให้อรอนงค์รู้ ซึ่งมารดาส่งข้อความปฏิเสธมาว่าไม่ได้บอกอรอนงค์แต่บอกกับคุณสดศรี จึงคาดว่าคุณสดศรีคงจะเป็นคนบอกหลาน
เสียงเคาะประตูยังคงดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับเสียงเรียกของอรอนงค์ หรือว่าอรอนงค์ จะกลัวจริง ๆ เธออาจจะฝันร้ายอย่างที่บอกก็ได้
หากเขาออกไปปลอบใจเธอบ้าง ก็น่าจะช่วยเธอได้ พอคิดเช่นนั้น ต้นกล้ าก็เดินไปเปิดประตูห้องนอนทันที
“ต้น..ฮือ ๆ ”
ไม่ทันได้ตั้งตัว อรอนงค์ ก็โผเข้าซบอกเขาทันที เขารู้สึกถึงเนื้อนุ่มนิ่มที่เบียดอยู่บริเวณหน้าอก เขารู้โดยไม่ต้องก้มไปมองด้วยซ้ำว่าอรอนงค์ไม่ได้สวมบรา เขาเพิ่งสังเกตว่าเธอสวมชุดนอนสายเดี่ยวแบบเบาบางมาก หากเขาก้มมองดูเธอก็จะเห็นส่วนสัดอย่างชัดเจนทีเดียว
“อร..”
เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่ามือของอรอนงค์ ไม่ได้โอบรอบเอวเขานิ่ง ๆ เหมือนตอนแรก แต่ตอนนี้มันเคลื่อนขึ้นไปโอบคอเขาเอาไว้ในลักษณะที่โน้มคอเขามาแนบชิดใบหน้าเธออย่างตั้งใจ จนเขารู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกายเพราะกระตุ้นความหนุ่มของเขาให้พลุ่งพล่านจนแทบจะระงับไม่อยู่
“อร..ปล่อยผมก่อน”
“งั้นให้อรนอนห้องต้นด้วยนะคะ”
“เดี๋ยวก่อน..ผมขอเข้าห้องน้ำก่อน”
ต้นกล้า หาทางออกให้กับตัวเอง เขาไม่แน่ใจว่าหากปล่อยตัวไปมากกว่านี้ เขาจะไม่ตอบสนองอรอนงค์อย่างถึงใจ เขาแกะมือเธอออกเบา ๆ ก่อนจะรีบสาวท้าวไปยังห้องน้ำทันที
ด้วยใจที่เต้นระทึก และขังตัวเองอยู่ในนั้นนานจนอรอนงค์ต้องเป็นฝ่ายตามมาดู
“ต้นคะ..เป็นลมอยู่ห้องน้ำรึเปล่า”
เสียงของอรอนงค์ ทำให้เขาจำต้องออกมาจากห้องน้ำ แล้วก็เดินออกไปด้านนอกห้องนอน เพื่อไปเปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นมาดื่มให้คลายความร้อนรุ่มใจ
อรอนงค์ เดินตามออกมา เขารีบดื่มน้ำอย่างรวดเร็วแล้วก็เดินลิ่วเข้าห้องนอนของตัวเองพร้อมกับล็อคประตูทันที
แต่เพียงครู่เดียว เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู และเสียงร้องเรียกของอรอนงค์ เขาแกล้งไม่ได้ยินปล่อยให้เธอเคาะร้องเรียกจนเหนื่อยไปเอง เขาจึงค่อยนอนหลับได้
อรอนงค์ ตื่นขึ้นมาในเวลาเก้าโมงเช้า เธอเปิดประตูห้องนอนออกมาก็พบว่า ต้นกล้า ออกไปจากห้องแล้ว โดยมีข้อความส่งมาในมือถือว่า
“วันนี้ผมไปทำธุระคืนนี้คงกลับดึก ผมทำแซนวิชเป็นอาหารเช้าให้คุณอยู่ที่ตู้เย็น ส่วนอาหารกลางวันและเย็น เลือกอุ่นใส่ไมโครเวฟตามสบายนะครับ มีให้เลือกในตู้เย็น”
“ผู้ชายอะไรน่ารักซะไม่มี ออกไปข้างนอกก็ยังอุตส่าห์เป็นห่วงเรื่องอาหารการกินอีก”
อรอนงค์ ยิ้มกับข้อความนั้น พร้อมกับส่งรูปหัวใจตอบไปแต่พอคิดอีกที เธอก็ไม่แน่ใจว่าต้นกล้า จะไปทำธุระจริงหรือเปล่า
“ธุระอะไรของเขานะ ถึงได้ไปแต่เช้าเชียว”
อรอนงค์ ไม่อยากจะคิดว่าต้นกล้าอยากหลบหน้าหลบตาเธอ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อคืนนี้ที่เขาเกือบจะเผลอไผลมีอารมณ์เคลิบเคลิ้มไปกับเธอ ทำให้เขาต้องรีบปิดประตูห้องนอนไม่ยอมให้เธอได้อยู่ใกล้ชิด
“ต้นคงกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวในเสน่ห์ของเราแน่ ๆ”
คิดมาถึงตอนนี้ อรอนงค์ ก็อดยิ้มหวานไม่ได้ เอาไว้คืนนี้เธอจะต้องยั่วยวนต้นกล้าให้สำเร็จ ผู้ชายอย่างเขาทำให้เธออยากจะเอาชนะเสียแล้ว เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่เธออยากจะได้แล้วไม่ได้
เมื่อคืนนี้ร่างกายของต้นกล้า ก็พร้อมที่จะสนองตอบเธออยู่แล้ว แต่เขาอาจจะเขินก็ได้ จึงแกล้งบอกเธอว่าจะเข้าห้องน้ำ และพอออกจากห้องน้ำเขาก็ปิดประตูห้องนอนเงียบไม่กล้าให้เข้าใกล้
“อรจะต้องทำให้ต้น เป็นของอรให้ได้”
อรอนงค์ พูดกับตัวเองประกายตามุ่งมั่น
หลังจากที่ต้นกล้า จอดรถภายในสวนสาธารณะได้แล้ว เขาก็นำอุปกรณ์การถ่ายคลิปลงจากรถ เดินหามุมที่ชอบ เขาคงจะต้องหาที่ถ่ายทำคลิปเพื่อไปลงในช่องยูทูป โดยตั้งใจว่าจะใช้เวลาทั้งวันไปจนถึงค่ำ จนแน่ใจว่าอรอนงค์ เข้านอนแล้ว จึงจะกลับห้อง
“แล้วเกิดคืนนี้ อรมาเคาะประตูห้องอีกล่ะ”
ต้นกล้า เริ่มเครียดขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร คงต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคนเสียแล้ว แต่จะเป็นใครล่ะ นึกไปนึกมาก็ไปลงตัวที่เพื่อนสาวทั้งสองคน
เขาตัดสินใจโทร.ไปหาเสาวนีย์ แต่สายไม่ว่าง จึงเปลี่ยนเป็นโทรหานิษฐา แทน
“หวัดดีครับนิด. เมื่อกี้โทรหาเก๋ สายไม่ว่างเลย”
“อ๋อ..เก๋ ติดสายอาร์ตอยู่ คู่นี้ขยันโทรหากันวันละหลายรอบ กว่าจะวางสายคงอีกนาน ต้นมีอะไรจะคุยกับเก๋เหรอ”
นิษฐา พยายามระงับความตื่นเต้นที่จะไม่ให้คนโทรมาจับได้ว่าเธอดีใจมากมายเพียงใดที่ได้ยินเสียงของต้นกล้า
“ที่จริงก็อยากจะคุยกับเก๋แล้วก็นิดด้วยน่ะแหละ คือ..ต้นมีเรื่องอยากจะขอให้ช่วยหน่อย”
“บอกมาได้เลย นิดยินดี” นิษฐา บอกด้วยความตื่นเต้น
“คือผมอยากจะให้นิดกับเก๋มาหาที่ห้องผมคืนนี้น่ะ”
“อุ๊ย!..คืนนี้เลยเหรอ เกิดอะไรขึ้น”
นิษฐา ใจเต้นตึกตักด้วยความดีใจ
ต้นกล้า เห็นว่านิษฐาเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันอยู่จึงตัดสินใจบอกไป
