บทที่ 5 การกลับมา
ยามเย็นตะวันใกล้ลับขอบฟ้า สาวิตรีกำลังวุ่นวายกับสวนกุหลาบหลังบ้าน เสียงเรียกของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้เธอหยุดชะงักและหันไปมอง
“คุณแม่ครับ”
“ธาม” สาวิตรีปล่อยบัวรดน้ำในมือลง สาวเท้าไปหาลูกชายด้วยความคิดถึง
เจ็ดปีที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ธมนินทร์โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว สาวิตรีสวมกอดร่างกำยำลูกชายอย่างโหยหา
“ผมกลับมาแล้วครับคุณแม่” ชายหนุ่มยกแขนกำยำกอดมารดาด้วยความคิดถึงเช่นกัน
“ธาม...ลูกกลับมาแล้ว แม่คิดถึงมากเลยนะ”
“คุณแม่เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“แม่คิดถึงลูก ลูกแม่โตขึ้นเยอะเลย” สาวิตรียกมือจับใบหน้าหล่อเหลาของลูกชาย
“ผมก็คิดถึงแม่ครับ”
“ธามกินอะไรมายัง”
“ยังเลยครับ” คนตัวโตออดอ้อนมารดา
“งั้นเข้าไปในบ้านกัน เดี๋ยวแม่สั่งป้าจันทร์ทำอาหารให้” สาวิตรีจูงแขนกำยำธมนินทร์ให้เดินตาม นานแค่ไหนระหว่างเธอกับลูกชายไม่ได้อยู่ด้วยกัน
กชนิภากลับจากมหาวิทยาลัยช่วงห้าโมงเย็น หญิงสาวไม่ทราบสักนิดถึงการกลับมาของธมนินทร์ เธอรีบไปหาสาวิตรียังคฤหาสน์เหมือนทุกครั้ง
ทว่าวันนี้ช่างแตกต่างกว่าวันที่ผ่านมา ระหว่างหญิงสาวกำลังจะก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อไปหาสาวิตรี เธอบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างสองแม่ลูก
“คุณแม่ป่วยตรงไหนครับ” ธมนินทร์ถามมารดาด้วยความเป็นห่วง
“แม่อยากให้ลูกกลับมาอยู่บ้าน” สาวิตรีเลี่ยงตอบคำถามลูกชายเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นแทน
“ผมมีงานต้องทำที่อิตาลี ผมกลับมาบ้านไม่ได้” เขาหมายถึงห้างสรรพสินค้าที่ร่วมลงทุนเปิดกับเพื่อน
“ลูกอยู่อิตาลีทำงานอะไร” สาวิตรีแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธมนินทร์สักนิด เพราะตลอดเจ็ดปีลูกชายไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังเลย แถมไม่เคยย่างก้าวกลับมาหยิบคฤหาสน์หลังนี้ หากเธอไม่โกหกเรื่องป่วยไม่มีทางจะได้เจอกัน
“ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าครับ”
“ลูกเปิดห้างเหรอ” สาวิตรีถามด้วยความสนใจ
“ครับ”
“ดีเลยธาม ลูกก็กลับมาบริหารงานต่อจากแม่เลย ลูกอย่าลืมสิว่าครอบครัวของเราก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้าเหมือนกัน”
“ครับ ผมไม่ได้ลืม”
“แล้วทำไมลูกไม่กลับมาช่วยงานแม่” สาวิตรีถามด้วยความสงสัย เลิกคิ้วขึ้นสูง
“หึ! คุณแม่อยากให้ผมกลับเหรอ คุณแม่ก็ไล่นางเด็กนั่นออกจากบ้านเราสิ ผมถึงจะยอมกลับมา”
“ธาม แม่นึกว่าลูกจะปล่อยวางเรื่องสายขิมได้แล้ว” สาวิตรีกล่าวด้วยความเหนื่อยล้า
“ผมไม่ชอบมัน ผมเกลียดมัน ที่ไหนมีมันที่นั่นจะไม่มีผม”
ทุกคำพูดของธมนินทร์เปรียบเสมือนมีดแหลมคมปักลงกลางหัวใจกชนิภา เขาประกาศอย่างชัดเจนระหว่างเธอและเขาจะไม่มีทางญาติดีกันได้
“ขิมจะไปจากที่นี่ ถ้าคุณธามกลับมาอยู่กับคุณนาย” เสียงหวานเปล่งออกมาพร้อมก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่น
บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกเป็นอันต้องหยุดลง หันไปมองตามเสียงของกชนิภา
“สายขิมว่าไง” สาวิตรีถามย้ำ เธอมองร่างบางที่นั่งลงบนพื้นข้างตนเอง
“ขิมจะออกไปจากที่นี่ สวัสดีค่ะคุณธาม” ประโยคหลังหญิงสาวหันไปทักทายชายหนุ่ม พนมมือทั้งสองข้างไหว้คนตัวโต
ธมนินทร์ไม่ได้ตอบรับกชนิภา เขามองหญิงสาวในชุดนักศึกษาดั่งต้องมนต์สะกด เธอสูงเพียงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร ริมฝีปากอมชมพู ใบหน้าหวานงดงาม เรียบร้อยและอ่อนหวาน ซึ่งแตกต่างจากวัยเด็กอย่างสิ้นเชิง
“ฉันไม่ยอมให้สายขิมออกไปจากที่นี่หรอก ผู้หญิงตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไร” สาวิตรีกล่าว เธอเลี้ยงดูกชนิภามาตั้งแต่เล็กจนโตเปรียบดั่งบุตรหลานคนหนึ่ง
“คุณนายอย่าห้ามขิมเลยนะคะ ขิมโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้ว ขิมไม่อยากให้คุณนายกับคุณธามต้องแยกจากกันอีก” เธอกล่าวอย่างสำนึกผิด
“ฉันไม่อนุญาต!!” สาวิตรียืนยันเสียงแข็ง
“แต่ว่า...” กชนิภากำลังจะแย้งทว่าต้องเงียบลง เพราะเจอคำพูดของคนตัวโตสวนกลับมา
“ตอแหล! ไม่ต้องมาทำเสแสร้งเป็นคนดีหน่อยเลย ที่พูดเพราะเรียกคะแนนสงสารอยู่ใช่ไหม หวังให้คุณแม่ฉันเห็นถึงความอ่อนแออยู่ใช่ไหม”
“ขิมเปล่าเรียกคะแนนสงสารอย่างที่คุณธามพูดนะคะ” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ
“ธาม!! หยุดพูดให้ร้ายสายขิมได้แล้ว” สาวิตรีตำหนิลูกชายอย่างสุดทน
“หึ!! แตะต้องไม่ได้เลยใช่ไหม นางเด็กกาฝากของคุณแม่เนี่ยนะ” ชายหนุ่มยิ้มแสยะมุมปากมองกชนิภาอย่างชิงชัง ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา
“ธามจะไปไหนลูก” สาวิตรีตะโกนถาม
“ผมก็จะไปจากที่นี่ไง ปล่อยให้คุณแม่อยู่กับนางเด็กกาฝากอย่างมีความสุข”
กชนิภาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นวิ่งไปขวางหน้าคนตัวโต กลัวธมนินทร์จะไปจากคฤหาสน์อีกครั้งจนผู้พระคุณต้องทุกข์ระทม
“คุณธามอย่าไปจากที่นี่เลยนะคะ คุณนายคิดถึงคุณธามมากตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา”
“หลบไปนางเด็กกาฝาก”
“ขิมจะไม่หลบไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณธามจะรับปากว่าจะอยู่ที่นี่กับคุณนาย”
“หลบไป!!” ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่คนตัวเล็ก บัดนี้เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว
“ขอร้องนะคะคุณธาม อย่าไปจากที่นี่เลยจะให้ขิมทำอะไรขิมยอมทุกอย่าง ขอแค่คุณธามยอมอยู่” หญิงสาวพนมมืออ้อนวอนชายตรงหน้า
“เธอมั่นใจนะว่ายอมทุกอย่าง” เขากล่าวอย่างเยือกเย็น
“แน่ใจค่ะ” เสียงหวานเอ่ย
“ก็ได้!! แต่เธออย่าลืมสัญญา” มือหนาผลักร่างบางจนล้มลงกับพื้น และก้าวไปไม่คิดเหลียวมองหญิงสาวแม้แต่น้อย
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับการถูกชายหนุ่มผลักจนล้ม แต่เธอกำลังอึ้งในคำพูดของเขาเมื่อสักครู่ รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกำลังตัดสินใจพลาดไป
“ว้าย! สายขิม” สาวิตรีร้องอุทาน เด้งตัวจากโซฟาไปหากชนิภา
“หนูสายขิมเป็นอะไรหรือเปล่า” ป้าจันทร์ที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีช่วยประคองหญิงสาวลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอปฏิเสธแก่สาววัยกลางคน กว่าจะรู้สึกตัวธมนินทร์เดินจากไปแล้ว
“ธามคุยอะไรกับสายขิม” สาวิตรีเอ่ยถาม เพราะเธอแทบไม่ได้ยินการสนทนาของคนทั้งสอง
“คุณธามบอกว่าจะอยู่ที่นี่ค่ะ”
“จริงเหรอสายขิมไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” สาวิตรีถามด้วยความดีใจและตื่นเต้นที่สุด
“จริงค่ะ” เธอส่งยิ้มหวานแก่ผู้มีพระคุณ
“สายขิมทำอย่างไรเหรอ ธามถึงยอมอยู่” สาวิตรีถามด้วยความสงสัย
“ขิมก็แค่บอกว่าคุณนายคิดถึงคุณธามมากตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา”
“แล้วธามยอมอยู่เลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“แปลกจัง ฉันขอร้องตั้งนานไม่ยอม พอสายขิมพูดกลับยอมขึ้นมาง่าย ๆ สายขิมไม่ได้มีอะไรปิดบังฉันใช่ไหม” สาวิตรีเริ่มเอะใจ จ้องเขม็งเค้นคำตอบจากกชนิภา
“เปล่าค่ะ ขิมไม่ได้ปิดบังอะไรคุณนายเลย”
“อืม งั้นก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ”
ยามราตรีช่วงเวลาหนึ่งทุ่มมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์และดวงดาวคอยส่องเป็นประกาย
หลังจากเสร็จงานจากคฤหาสน์กชนิภาพาตนเองกลับไปยังที่พัก ระหว่างกำลังจะเข้าห้องจู่ ๆ เหมือนมีร่างของใครคนหนึ่งผลักเธอเข้าไปข้างใน ล้มลงบนเตียงนอน
“ว้าย!! คุณเป็นใคร” ความมืดทำให้กชนิภามองไม่เห็น
“ฉันเอง” เสียงทุ้มเอ่ย
“คุณธามเหรอคะ”
“อืม”
“คุณธามเข้ามาในห้องขิมทำไม แล้วคุณธามจะทำอะไรขิมคะ” เธอถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะตอนนี้เธอกำลังถูกเขาคร่อมร่าง
“ถามโง่ ๆ ก็มาเอาสิ!!”
“อะ เอาอะไรคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างลังเล
“อย่ามาทำไร้เดียงสา ท่าทางอย่างนี้คงผ่านผู้ชายมาเยอะแล้วสิ!!”
“คุณธามพูดเรื่องอะไรคะ ขิมไม่เข้าใจ” เธอยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตัวโตกำลังจะสื่อ
“เมื่อช่วงเย็นพูดเองไม่ใช่เหรอว่าจะยอมทุกอย่าง ทำไมมากลับคำพูดวะ” เขาสบถอย่างหัวเสีย
“ขิมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ซะหน่อย ปล่อยขิมค่ะ” เธอขัดขืนผลักอกแกร่งให้ถอยห่าง
ธมนินทร์คร้านจะฟังคนตัวเล็กเถียง จับแขนเรียวตรึงกับเตียงนอน โน้มใบหน้าหล่อเหลาประกบปากจูบริมฝีปากอกชมพู ส่งลิ้นร้อนอุ่นเข้าไปทักทายกับลิ้นเล็กเกี่ยวพันไปมาหยอกเย้า
เสียงร้องสะอึกสะอื้นของกชนิภาทำให้ธมนินทร์หยุดการกระทำป่าเถื่อน ปล่อยร่างบางเป็นอิสระ
“ร้องไห้ทำไมวะ ทำอย่างกับไม่เคย” เสียงทุ้มต่อว่าคนตัวเล็กบนเตียงนอน
“คุณมันใจร้ายที่สุด” เธอโต้กลับบ้าง
“ฉันจะปล่อยเธอไปก่อน!!” เขากล่าวเพียงเท่านั้นก็ออกจากห้องทันที
กชนิภามองตามร่างหนาที่เดินออกไป ปิดประตูลงอย่างแรง น้ำตาหลั่งไหลลงข้างแก้มนวล ก่อนจะเผลอหลับลงด้วยความเหนื่อยล้า
