เล่ห์ร้ายมัจจุราชรัก

87.0K · จบแล้ว
ลั่นทมสีเลือด
41
บท
6.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คำโปรย แค่เด็กกำพร้าคนหนึ่งที่มีฐานะต่ำต้อย ทั้งยังถูกมารดาของเขารับไปเลี้ยงดู ชายหนุ่มจึงเกลียดเธอเข้าไส้เพราะคิดว่ากำลังแย่งทุกอย่างไปจากตนเอง เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาโทษว่าเป็นความผิดของเธอแต่เพียงผู้เดียว ชายหนุ่มจึงทำร้ายจิตใจหญิงสาวสารพัด โดยไม่สนใจว่าเธอจะเจ็บปวดหรือไม่ ***ตัวอย่างเนื้อเรื่อง**** "เมื่อคืนเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา!!" ขณะกชนิภาจะเดินไปห้องครัว จู่ ๆ ต้องสะดุ้งกับเสียงเข้มของธมนินทร์ตำหนิ "คุณธาม" เสียงหวานเอ่ยอย่าแผ่วเบา คาดไม่ถึงจะต้องมาเจอเขาในช่วงเช้าอย่างนี้ "ตามมานี่เลยสายขิม" มือหนาเข้าไปคว้าแขนเรียว กระชากให้เดินตามหลังตนเอง กระทั่งมาหยุดยังห้องนั่งเล่น เขาเหวี่ยงร่างบางลงพื้นด้วยความแรง ไม่สนว่าคนตัวเล็กจะเจ็บหรือไม่ เพราะตอนนี้ตนเองกำลังโกรธมาก "โอ๊ย!! คุณธาม ขิมเจ็บนะ" เงยหน้ามองคนตัวโตอย่างไม่พอใจ "แค่นี้มันยังน้อยไปสายขิม!" มือหนาบีบคางมนแทบแหลกคามือ "คุณเป็นบ้าเหรอคุณธาม ปล่อยนะขิมเจ็บ" ใบหน้างามสะบัดไปมา หวังให้หลุดจากการเกาะกุมของคนตัวโต "เธอต่างหากสายขิมที่เป็นบ้า เมื่อคืนฉันอุตส่าห์ไปเรียกเธอหลายรอบที่ห้อง แต่เธอไม่ยอมเปิด มันหมายความว่าไง!!" ตะคอกเสียงแข็งใส่คนตัวเล็ก แววตาดุจดั่งซาตานร้ายจ้องเขม็งร่างบาง "แล้วคุณธามจะมายุ่งกับขิมอีกทำไม คุณธามก็มีคุณแอนจี้แล้วทั้งคน" ต่อว่าเขาด้วยอารมณ์น้อยใจ พยายามกระพริบน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา "เธอคงลืมไปแล้วสินะสายขิม ระหว่างเธอกับฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น เธอมันก็แค่ของเล่นชั่วคราวของฉันเท่านั้น" พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยความเยือกเย็น "ฮึก ขิมเข้าใจแล้ว" เสียงหวานกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาปนเสียงสะอึก แทบจะไม่ได้ยินทว่าคนหูดีกลับได้ยินชัดเจน "เข้าใจแล้วก็ดี ต่อไปนี้อย่ามาล้ำเส้นฉันและแอนจี้อีก" /// ภาคลูก/// - เสน่ห์ร้ายพ่ายรัก (เดหลี x เดย์ตัน) - เล่ห์วิวาห์ซ่อนรัก (แก้มหวาน x ควินตัน)

ประธานคนต่ำต้อยดราม่าโรแมนติก18+พลิกชีวิตตั้งครรภ์

บทที่ 1 การสูญเสีย

ณ คฤหาสน์ตระกูลโชติยศ ภายในรั้วของคฤหาสน์มีครอบครัวหนึ่งอาศัยกันเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น

“สายขิม วันนี้แม่จะออกไปซื้อของทำกับข้าวให้คุณนาย ลูกจะไปกับแม่ด้วยไหม” นางมะลิซ้อนสาววัยสามสิบแม่บ้านของตระกูลโชติยศ เนื่องจากสามีเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจตั้งแต่ลูกสาวยังเป็นทารก

เธอจึงหอบลูกเข้ากรุงเทพเพื่อมาหางานทำ โชคดีได้คุณนายสาวิตรีให้การช่วยเหลือ เธอเลยมาเป็นแม่บ้านของตระกูลโชติยศ

“ไปค่ะแม่” กชนิภาหรือสายขิมเด็กน้อยวัยหกขวบเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ขณะกำลังระบายสี

“งั้นไปกันเถอะ” นางมะลิซ้อนเอื้อมมือไปจูงแขนลูกสาว

“แม่ขา วันนี้แม่จะทำอะไรให้คุณนายทานคะ” กชนิภาสาวน้อยวัยหกขวบเอ่ยถามมารดา ระหว่างกำลังเดินเลือกซื้อผักสดในตลาด

“แม่จะทำของโปรดคุณนายค่ะ สายขิมอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”

“ไม่ค่ะ ขิมจะช่วยแม่ทำกับข้าวให้คุณนายนะคะ” สาวน้อยหันมาส่งยิ้มตาหยีแก่มารดา

“เก่งมากเลยลูกแม่ ลูกต้องภักดีกับคุณนายให้มาก ๆ นะคะ คุณนายช่วยเหลือครอบครัวของเราทุกอย่าง ถ้าไม่มีคุณนายป่านี้ชีวิตแม่และลูกจะเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้เลย” นางมะลิซ้อนมองลูกสาวข้างกาย ลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู

“ค่ะ ขิมจะภักดีกับคุณนาย ขิมจะทำตามคำสั่งของแม่ทุกอย่างและขิมจะไม่ดื้อด้วย” เสียงสาวน้อยวัยหกขวบกล่าวเจื้อยแจ้ว

“ดีมากเลยสายขิม ไปกันเถอะ ไปดูของด้านโน้นต่อ” นางมะลิซ้อนจูงมือลูกสาวพาไปโซนอาหารสด

หลังจากเสร็จสิ้นการจ่ายตลาด นางมะลิซ้อนและสาวน้อยกชนิภากำลังนั่งรอรถเมล์

“เอ๊ะ ไม่ได้ซื้อมาเหรอ” นางมะลิซ้อนกำลังเปิดดูถุงของในอย่างวุ่นวาย

“แม่ลืมอะไรเหรอคะ” สาวน้อยหันไปมองมารดาทำตาแป๋วพร้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีงุนงง

“แม่น่าจะลืมซื้อของบางอย่าง สายขิมรอแม่ที่ป้ายรถเมล์ก่อนเดี๋ยวแม่ไปซื้อของแป๊บนึงจะรีบกลับมา ห้ามไปไหนรู้ไหม” นางมะลิซ้อนกล่าวกับลูกสาวเสร็จ เธอก็รีบข้ามไปซื้อของในตลาดทันที

ผ่านไปประมาณสิบห้านาที นางมะลิซ้อนซื้อของที่ต้องการจนเสร็จเรียบร้อยกำลังจะข้ามถนนกลับมาหาลูกสาว

“แม่!!” สาวน้อยที่นั่งเหงาหงอยเมื่อเห็นมารดารีบลุกขึ้นจะก้าวไปหา แต่ต้องหยุดชะงัก เพราะนางมะลิซ้อนตะโกนมา

“อย่าข้ามมานะสายขิม!!” นางมะลิซ้อนร้องห้ามลูกสาวก่อนจะหันมองซ้ายขวา เพื่อมองดูรถระหว่างกำลังจะไปหาลูกสาว

ทันใดนั้น!!!

ร่างของนางมะลิซ้อนถูกรถเก๋งคันหนึ่งชนเข้ากับร่างอย่างจัง จนผู้คนบริเวณนั้นต่างร้องโวยวายด้วยความตกใจ รถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนต่างหยุดลง ส่วนรถที่ชนเข้ากับนางมะลิซ้อนขับหนีออกไป

กชนิภามองร่างมารดาที่ถูกรถชนด้วยอาการตกตะลึง เด็กน้อยพยายามรวบรวมสติก่อนจะวิ่งไปหามารดานอนแน่นิ่งกับพื้น ทั่วทั้งกายของนางมะลิซ้อนเต็มไปด้วยเลือดไหลนอง

“แม่!!” เด็กน้อยนั่งลงข้างมารดา เอื้อมมือน้อย ๆ สัมผัสใบหน้าของมารดาเปื้อนคราบเลือด

“สะ สาย ขิม ละ ลูก” ไม่ทันนางมะลิซ้อนจะเอ่ยสิ่งใดกับลูกสาว เพียงลมหายใจอันน้อยนิดดับสิ้นลงอย่างไม่มีวันหวนกลับมา

“แม่ ฮือ ๆ ” สาวน้อยวัยหกขวบโอบกอดร่างไร้วิญญาณของมารดา ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินสู่ข้างแก้ม แค่วินาทีเดียวเท่านั้นพรากกชนิภากับมารดา

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเข้ามาปลอบกชนิภา ทว่าเด็กน้อยกลับไม่สนใจยังกอดร่างมารดาอย่างแน่น ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างของนางมะลิซ้อนไป

“หนูจ๊ะ ปล่อยให้พี่ ๆ เจ้าหน้าที่พาแม่หนูไปเถอะ” เสียงสาววัยกลางคนหนึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กน้อย

“ไม่!! แม่ของขิมไม่ได้เป็นอะไร”

“แต่แม่ของหนูถูกรถชน เสียชีวิตลงแล้วนะ” สาววัยกลางคนคนเดิมยังคงกล่าว

“ไม่จริง แม่ของขิมยังอยู่ ฮึก ฮือ แม่ฟื้นขึ้นมาสิ!!”

ระหว่างทางกลับจากสัมมนาสาวิตรีเห็นถึงความผิดปกติ บนท้องถนน ผู้คนต่างยืนรายล้อมอย่างหนาแน่น ด้วยความแปลกใจเธอหยุดชะลอรถลง

ทันใดนั้นสายตาปะทะเข้ากับร่างของนางมะลิซ้อนนอนนิ่งกับพื้นถนน โดยข้างกายมีสาวน้อยกชนิภาร้องห่มร้องไห้กอดร่างมารดา

สาวิตรีไม่รอช้ารีบเดินมุ่งไปยังจุดมุ่งหมาย

“สายขิม” เธอเอ่ยเรียกกชนิภาอย่างแผ่วเบา มือบางแตะบนไหล่ของเด็กน้อย

“คุณนาย” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เด็กน้อยผละออกจากร่างมารดาหันไปกอดสาวิตรีแทน

ผู้ที่พึ่งมาใหม่กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ กระทั่งมีเสียงของสาววัยกลางคนดังขึ้น

“แม่หนูรู้จักกับคนตายเหรอ”

“เอ่อ คือ” สาวิตรีไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะตอนนี้เธอกำลังตกใจสุดขีด

“ถ้าแม่หนูรู้จักกับคนตาย ช่วยเกลี้ยกล่อมเด็กคนนี้หน่อย ตอนนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยรอตั้งนานแล้ว” สาววัยกลางคนอธิบายแก่สาวิตรีให้เข้าใจ

“ค่ะ เดี๋ยวสาช่วยพูดกับเด็กเอง” สาวิตรีตอบรับกับสาววัยกลางคนก่อนจะพูดกับเด็กน้อยในอ้อมกอด

“สายขิมจ๊ะ แม่ของหนูไปสบายแล้วนะ สายขิมปล่อยให้พี่ ๆ เจ้าหน้าที่พาร่างของแม่หนูไปนะ” สาวิตรีพยายามพูดปลอบประโลมกชนิภาอย่างนุ่มนวล

“ฮือ ๆ ขิมไม่ให้ใครเอาแม่ขิมไปไหนทั้งนั้น” กชนิภาเด้งตัวออกจากอ้อมกอดสาวิตรีหันไปกอดมารดาต่อ

“สายขิมจ๊ะ อย่างอแงนะกลับบ้านกับฉันเถอะ ฉันจะพาหนูไปกินของอร่อย ๆ”

“ไม่!! ขิมจะอยู่กับแม่ ฮือ ๆ แม่รีบฟื้นมาสิ” มือน้อยกชนิภาเขย่าร่างมารดาเบา ๆ

“สายขิมพอเถอะ แม่ของหนูไปสบายแล้ว” สาวิตรีทนเห็นภาพความเจ็บปวดของเด็กน้อยไม่ไหว คว้าร่างน้อยมากอดแนบกอดอก ปล่อยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างไร้วิญญาณของนางมะลิซ้อนไป

“แม่...อย่าพาแม่ของขิมไป” เด็กน้อยกรีดร้องเสียงดัง จู่ ๆ ก็สลบลงคาอ้อมกอดสาวิตรี

“สายขิม สายขิม” สาวิตรีเรียกหลายครั้งไร้การตอบกลับรีบอุ้มร่างกชนิภาพาไปโรงพยาบาลทันที

สาวิตรีมาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หญิงสาวรีบพาร่างสาวน้อยในอ้อมกอดตรงไปห้องฉุกเฉิน

“หมอคะ ช่วยด้วยค่ะ” สาวิตรีตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ

“คนไข้เป็นอะไรมาคะ” พยาบาลสาวสวยนางหนึ่งวิ่งเข้ามาถาม ตามตัวของกชนิภาเต็มไปด้วยคราบเลือด

“น่าจะเกิดอาการช็อกค่ะ”

“แล้วทำไมถึงมีเลือด” พยาบาลสาวสวยยังคงซักไซ้ต่อ

“แม่ของเด็กถูกรถชน” สาวิตรีพูดเพียงเท่านั้น พยาบาลคนดังกล่าวเข้าใจทันที

“งั้นวางเด็กลงเลยค่ะ”

ร่างกชนิภาถูกวางบนเตียงฉุกเฉินและถูกเข็นพาเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉิน

สาวิตรีนั่งคอยอย่างกระวนกระวายใจคาดไม่ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับคนใกล้ชิด ยิ่งนึกยิ่งสงสารสาวน้อยวัยหกขวบไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้างหลังจากนี้

“ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” เสียงแพทย์ดังขึ้นปลุกร่างสาวิตรีตื่นจากภวังค์

“ฉันค่ะ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหาแพทย์หน้าประตูห้องฉุกเฉิน

“คุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ”

“เธอเป็นหลานของสาค่ะ” สาวิตรีจำเป็นต้องโกหกสถานะระหว่างตนเองกับกชนิภา เพราะไม่อยากให้เรื่องยืดยาวไปมากกว่านี้

“อืม”

“แล้วสายขิมเป็นอย่างไรบ้างคะ เอ่อ ฉันหมายถึงเด็กคนนั้น”

“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หลังจากคนไข้ฟื้นขึ้นมาสามารถกลับบ้านได้เลย อีกอย่างนะครับผมทราบเรื่องจากนางพยาบาลแล้วว่าเด็กพึ่งสูญเสียมารดา ผมอยากให้คุณดูแลเรื่องสภาพจิตใจของเด็กหน่อยนะครับ กลัวว่าเด็กจะซึมเศร้า”

“ได้ค่ะ สาจะดูแลเป็นอย่างดีเลย ขอบคุณหมอมากนะคะ” สาวิตรีพนมมือสองข้างไหว้แก่ชายตรงหน้า

“อืม ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน”

“ค่ะ” สาวิตรีถอนหายใจด้วยความโล่งอก