บทที่ 4 เตรียมตัวกลับ
เจ็ดปีผ่านไป... กาลเวลาผ่านพ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นพึ่งจะผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้
กชนิภาเติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มวัย ความสวยของหญิงสาวเป็นที่หมายปองแก่บรรดาหนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่มากมาย
“แหม วันนี้หนุ่มที่ไหนให้ดอกไม้มาคะ ช่อใหญ่ซะด้วย เขาจีบหนูสายขิมเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะป้าจันทร์ รุ่นพี่ที่คณะให้มาเฉย ๆ ” กชนิภาตอบสาววัยกลางคน
“ผู้ชายให้ดอกไม้แสดงว่าผู้ชายชอบนะคะ” ป้าจันทร์ชี้แจงแก่สาวตรงหน้า
“คงไม่หรอกมั้ง” หญิงสาวปฏิเสธ
“ฉันได้ยินใครนะ มีหนุ่มมาจีบ” เสียงสาวิตรีดังขึ้นหยุดการสนทนาระหว่างกชนิภาและป้าจันทร์หันไปมองตามเสียง
“คุณนาย!! สวัสดีค่ะ” หญิงสาวพนมมือทั้งสองข้างไหว้แก่ผู้มีพระคุณ
“ก็หนูสายขิมสิคะคุณนาย หนุ่มที่ไหนไม่รู้ให้ดอกไม้ช่อใหญ่มา สงสัยเขามาจีบแน่เลย” ป้าจันทร์เอ่ยขึ้น
“จริงเหรอสายขิม” สาวิตรีหันไปถามกชนิภา
“เปล่าสักหน่อยนะคะ ป้าจันทร์แค่แซวเฉย ๆ ”
“ถ้าสายขิมจะมีความรัก ฉันไม่ว่าหรอก สายขิมก็โตแล้ว” สาวิตรีพูดให้กชนิภาสบายใจ
“ตอนนี้ขิมยังไม่คิดเรื่องนี้หรอก ขิมอยากเรียนให้จบเร็ว ๆ จะได้มาช่วยงานคุณนาย ขิมอยากตอบแทนบุญคุณคุณนายค่ะ”
“ฉันไม่เคยต้องการเลย”
“แต่ขิมอยากจะตอบแทนจริง ๆ นะคะ” เธอกล่าวยืนยันเสียงหนัก
“เฮ้อ...งั้นก็ตามใจสายขิม ถ้าวันไหนหนูอยากมีครอบครัวขึ้นมา ฉันอนุญาต”
“ขอบคุณมากค่ะ งั้นขิมตัวก่อนนะคะจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อมาช่วยป้าจันทร์ในครัว”
“อืม ตามใจอยากจะทำอะไรก็ทำ” สาวิตรีทราบดีว่าตนเองไม่เคยห้ามกชนิภาได้เลย
“เดี๋ยวขิมมานะคะป้าจันทร์” หญิงสาวบอกสาววัยกลางคนก่อนจะเดินออกจากห้องครัว
หญิงสาวเดินได้ไม่กี่ก้าวจู่ ๆ เสียงของป้าจันทร์ดังขึ้นเป็นเหตุให้กชนิภาหยุดและเงี่ยหูฟัง
“คิดถึงคุณธามนะคะคุณนาย เจ็ดปีแล้วที่คุณธามไม่กลับมาบ้านเลย”
“อืม สาคิดถึงลูกมากเหมือนกัน ธามคงโกรธสาแหละ” สาวิตรีกล่าวเสียงสั่น
“คุณนายอย่าคิดมากนะคะ คุณธามอาจจะติดใจต่างประเทศเลยไม่อยากกลับบ้าน” ป้าจันทร์พยายามปลอบ
“ป้าจันทร์ไม่ต้องปลอบใจสาหรอก สารู้ดี”
“อย่าเครียดไปเลยคุณนาย สักวันคุณธามต้องกลับมา”
กชนิภายืนฟังครู่หนึ่งก่อนจะผละออก หญิงสาวเดินมาเรื่อย ๆ กระทั่งเดินมาหยุดหน้าห้องตนเอง มือบางผลักประตูเข้าไปข้างในพร้อมนั่งลงบนเตียงนอนพลางครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินเมื่อสักครู่
“เพราะเราสินะคุณธามถึงไม่ยอมกลับบ้าน” เธอรู้สึกไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
ณ กรุงโรมประเทศอิตาลี ศูนย์กลางแห่งอารยธรรมและศิลปกรรม ร่างกำยำของใครคนหนึ่งบนตึกสูงเสียดฟ้ามองดูวิวด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
นานแค่ไหนเจ้าของร่างกำยำผู้นี้ไม่เคยย่างก้าวเหยียบประเทศไทย ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ธมนินทร์ตัดสินใจไปเรียนไกลบ้าน โดยไม่เคยรับการช่วยเหลือจากมารดาแม้แต่น้อย เขาต้องใช้ชีวิตเพียงผู้เดียวในต่างแดนอย่างแสนยากลำบาก
เดิมทีชายหนุ่มมาเรียนด้วยกันกับแฟนสาว ทว่าเมื่อแอนจี้รู้เรื่องที่เขาไม่ได้รับเงินจากมารดา หญิงสาวจึงทิ้งเขาไปและคบกับนักธุรกิจคนหนึ่ง
นับตั้งแต่นั้นมาธมนินทร์กลายเป็นคนเย็นชาในความรัก เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงทุกคนเพียงชั่วค่ำคืนไม่คิดจะจริงจังกับใคร
“ท่านประธานครับ” เดวิดหนุ่มลูกครึ่งไทย-อิตาลีเอ่ยเรียกเจ้านาย
“อืม ว่าไง” ธมนินทร์ตื่นจากภวังค์หันหลังไปมองตามเสียงของลูกน้องคนสนิท
“ขอโทษที่รบกวนครับ พอดีมีสายจากประเทศไทยโทรเข้ามา”
“ใคร!!” คิ้วดกดำขมวดเข้าหากัน
“เห็นบอกว่าเป็นคุณแม่ของท่านประธาน”
“เอามา” มือหนาเอื้อมมือไปรับโทรศัพท์จากลูกน้อง
“นี่ครับ” เดวิดยื่นเสร็จ เขาก็เดินออกไปปล่อยให้ธมนินทร์อยู่ในห้องเพียงผู้เดียว
(ธามเหรอลูก นี่แม่เอง) ปลายสายพูดด้วยความดีใจ
“ครับ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่า”
(แม่คิดถึงลูกมากกลับมาบ้านได้ไหม)
“เด็กนั่นยังอยู่บ้านเราอีกไหม ถ้ามันยังอยู่ผมไม่กลับ!!” ธมนินทร์พูดเสียงแข็ง ท่าทีเกรี้ยวกราดเมื่อนึกถึงกชนิภา
(โธ่ธาม!! มันนานมากแล้วลูกยังไม่เลิกโกรธสายขิมอีกเหรอ)
“ผมไม่ได้โกรธแต่ผมเกลียดมันต่างหาก!!” ชื่อของกชนิภายิ่งทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มเดือด
ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับแอนจี้ต้องเลิกกัน ชายหนุ่มโทษว่าเป็นความผิดของกชนิภา ถ้าเขาไม่ได้มาต่างประเทศตัวเปล่าไร้ทรัพย์สินจากมารดา แอนจี้คงไม่มีทางบอกเลิกเขาแน่นอน
(เมื่อไรธามจะเลิกเกลียดสายขิมล่ะ น้องน่าสงสารมาก)
“หึ! น่าสงสารเหรอ น่ารังเกียจมากกว่า ถ้าคุณแม่จะโทรมาคุยเรื่องนี้ แค่นี้แหละ!!” ชายหนุ่มกำลังจะกดวางสาย เสียงของมารดาแทรก เขารีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง
“คุณแม่ว่าอะไรนะครับ ผมฟังไม่ถนัด”
(ถ้าลูกไม่กลับมาบ้าน คงไม่มีโอกาสได้เห็นแม่แล้วแหละ)
“คุณแม่หมายความว่าไงครับ คุณแม่!!” ชายหนุ่มพยายามเรียกมารดาทว่าเสียงปลายสายถูกตัด
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
ธมนินทร์มองดูหน้าจอโทรศัพท์พึ่งดับไปเมื่อสักครู่ ภายในใจก่อเกิดความรู้สึกบางอย่าง สิ่งที่มารดาพูดทำให้จิตใจชายหนุ่มไม่สงบกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
“เดวิดเข้ามาพบฉันที่ห้องหน่อย” ธมนินทร์กรอกเสียงเรียกลูกน้องคนสนิทผ่านอินเตอร์คอม
เพียงไม่กี่วินาทีเดวิดเดินเข้ามาหยุดอยู่กลางห้องทำงานใหญ่ของเจ้านาย
“ครับท่านประธาน”
“จองตั๋วกลับประเทศไทยให้ฉันสัปดาห์หน้า” เสียงส่งอำนาจออกคำสั่งกับลูกน้อง
“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้”
“อืม ออกไปได้” ฝ่ามือใหญ่ไล่ลูกน้องออกจากห้องหลังเสร็จธุระ
“ครับ” เดวิดค่อย ๆ ถอยหลังออกจากห้อง
ธมนินทร์หันไปมองวิวนอกตึกอีกครั้ง ต่อให้ไม่อยากกลับประเทศไทยมากขนาดไหนแต่คำพูดของมารดาทำให้ชายหนุ่มอดห่วงไม่ได้
“คุณนายพูดอย่างนั้น คุณธามจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าคะ” เสียงหวานของกชนิภาเอ่ยถาม
“รู้สึกไม่ดีก็ช่าง ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ฉันพูดขนาดนี้แล้วลูกชายฉันจะกลับมาไหม”
“เพราะขิมใช่ไหมคะ คุณธามถึงไม่อยากกลับมา” กชนิภาพูดเสียงสั่นเครือ ก้มหน้ามองพื้นอย่างคนสำนึกผิด
“เลิกคิดมากได้แล้วสายขิม ฉันไม่อยากให้เธอเครียดจนเกินไป” สาวิตรีเอ็ดคนตัวเล็ก
“แต่ว่า...” หญิงสาวเงยหน้าสบตาสาวิตรี ไม่ทันจะกล่าวสิ่งใดถูกสายตาดุดันของผู้มีพระคุณจ้องมา
“ถ้ายังพูดอีกคำฉันจะโกรธสายขิมแล้วนะ”
“ขิมไม่พูดแล้วค่ะ” เธอส่ายศีรษะไปมา
“อืม แล้วที่มหาลัยเป็นไงบ้าง ปีสุดท้ายแล้วใช่ไหม” สาวิตรีเอ่ยถามกชนิภา เด็กสาวที่เธอเอ็นดูดั่งบุตรหลาน
“ค่ะปีสุดท้ายแล้ว” กชนิภาตอบพร้อมส่งยิ้มหวาน หญิงสาวอยากจะเรียนจบเร็ว ๆ เพื่อจะได้ทำงานตอบแทนผู้มีพระคุณ
“ขาดเหลืออะไรก็บอก”
“ค่ะ” เธอตอบอย่างเข้าใจ
ความเงียบเข้ามาปกคลุม กชนิภามิอาจปล่อยวางเรื่องธมนินทร์ได้ ทุกอย่างเรื่องราวที่ผ่านมารบกวนจิตใจเธอเหลือเกิน
“คุณนายคะ ถ้าคุณธามกลับมา ขิมขอย้ายไปอยู่กับเพื่อนชั่วคราวนะคะ”
“ทำไม”
“เอ่อ ขิมกลัวว่าคุณธามจะอารมณ์ไม่ดีถ้าเห็นหน้าขิม”
“ไม่ต้องย้ายไปไหนทั้งนั้น ธามอายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ถ้ายังทำตัวเหมือนเด็กรังแกสายขิมอีก ฉันก็ไม่ปล่อยเหมือนกัน”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากจะพูดกับสายขิมแล้ว ไปดูดอกกุหลาบหลังบ้านดีกว่า” กล่าวเสร็จสาวิตรีลุกขึ้นออกจากห้องนั่งเล่น
กชนิภามองตามร่างของผู้มีพระคุณ เธอเองก็ไม่ได้อยากจะขัดใจผู้มีพระคุณมากหรอก แต่ถ้าธมนินทร์เจอเธอขึ้นมาจริง ๆ กลัวเขาจะทำร้ายตนเองจนสาหัส ขนาดตอนเป็นเด็กน้อยยังโดนมากขนาดนั้น โตขึ้นมาไม่รู้จะโดนมากขนาดไหน
“เฮ้อ...ทำไงดียัยขิม” หญิงสาวถอนหายใจบ่นพึมพำ
