บทที่ 1 การสูญเสีย
ณ คฤหาสน์ตระกูลโชติยศ ภายในรั้วของคฤหาสน์มีครอบครัวหนึ่งอาศัยกันเพียงสองแม่ลูกเท่านั้น
“สายขิม วันนี้แม่จะออกไปซื้อของทำกับข้าวให้คุณนาย ลูกจะไปกับแม่ด้วยไหม” นางมะลิซ้อนสาววัยสามสิบแม่บ้านของตระกูลโชติยศ เนื่องจากสามีเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจตั้งแต่ลูกสาวยังเป็นทารก
เธอจึงหอบลูกเข้ากรุงเทพเพื่อมาหางานทำ โชคดีได้คุณนายสาวิตรีให้การช่วยเหลือ เธอเลยมาเป็นแม่บ้านของตระกูลโชติยศ
“ไปค่ะแม่” กชนิภาหรือสายขิมเด็กน้อยวัยหกขวบเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ขณะกำลังระบายสี
“งั้นไปกันเถอะ” นางมะลิซ้อนเอื้อมมือไปจูงแขนลูกสาว
“แม่ขา วันนี้แม่จะทำอะไรให้คุณนายทานคะ” กชนิภาสาวน้อยวัยหกขวบเอ่ยถามมารดา ระหว่างกำลังเดินเลือกซื้อผักสดในตลาด
“แม่จะทำของโปรดคุณนายค่ะ สายขิมอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่ค่ะ ขิมจะช่วยแม่ทำกับข้าวให้คุณนายนะคะ” สาวน้อยหันมาส่งยิ้มตาหยีแก่มารดา
“เก่งมากเลยลูกแม่ ลูกต้องภักดีกับคุณนายให้มาก ๆ นะคะ คุณนายช่วยเหลือครอบครัวของเราทุกอย่าง ถ้าไม่มีคุณนายป่านี้ชีวิตแม่และลูกจะเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้เลย” นางมะลิซ้อนมองลูกสาวข้างกาย ลูบศีรษะลูกสาวอย่างเอ็นดู
“ค่ะ ขิมจะภักดีกับคุณนาย ขิมจะทำตามคำสั่งของแม่ทุกอย่างและขิมจะไม่ดื้อด้วย” เสียงสาวน้อยวัยหกขวบกล่าวเจื้อยแจ้ว
“ดีมากเลยสายขิม ไปกันเถอะ ไปดูของด้านโน้นต่อ” นางมะลิซ้อนจูงมือลูกสาวพาไปโซนอาหารสด
หลังจากเสร็จสิ้นการจ่ายตลาด นางมะลิซ้อนและสาวน้อยกชนิภากำลังนั่งรอรถเมล์
“เอ๊ะ ไม่ได้ซื้อมาเหรอ” นางมะลิซ้อนกำลังเปิดดูถุงของในอย่างวุ่นวาย
“แม่ลืมอะไรเหรอคะ” สาวน้อยหันไปมองมารดาทำตาแป๋วพร้อมเอ่ยถามด้วยท่าทีงุนงง
“แม่น่าจะลืมซื้อของบางอย่าง สายขิมรอแม่ที่ป้ายรถเมล์ก่อนเดี๋ยวแม่ไปซื้อของแป๊บนึงจะรีบกลับมา ห้ามไปไหนรู้ไหม” นางมะลิซ้อนกล่าวกับลูกสาวเสร็จ เธอก็รีบข้ามไปซื้อของในตลาดทันที
ผ่านไปประมาณสิบห้านาที นางมะลิซ้อนซื้อของที่ต้องการจนเสร็จเรียบร้อยกำลังจะข้ามถนนกลับมาหาลูกสาว
“แม่!!” สาวน้อยที่นั่งเหงาหงอยเมื่อเห็นมารดารีบลุกขึ้นจะก้าวไปหา แต่ต้องหยุดชะงัก เพราะนางมะลิซ้อนตะโกนมา
“อย่าข้ามมานะสายขิม!!” นางมะลิซ้อนร้องห้ามลูกสาวก่อนจะหันมองซ้ายขวา เพื่อมองดูรถระหว่างกำลังจะไปหาลูกสาว
ทันใดนั้น!!!
ร่างของนางมะลิซ้อนถูกรถเก๋งคันหนึ่งชนเข้ากับร่างอย่างจัง จนผู้คนบริเวณนั้นต่างร้องโวยวายด้วยความตกใจ รถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนต่างหยุดลง ส่วนรถที่ชนเข้ากับนางมะลิซ้อนขับหนีออกไป
กชนิภามองร่างมารดาที่ถูกรถชนด้วยอาการตกตะลึง เด็กน้อยพยายามรวบรวมสติก่อนจะวิ่งไปหามารดานอนแน่นิ่งกับพื้น ทั่วทั้งกายของนางมะลิซ้อนเต็มไปด้วยเลือดไหลนอง
“แม่!!” เด็กน้อยนั่งลงข้างมารดา เอื้อมมือน้อย ๆ สัมผัสใบหน้าของมารดาเปื้อนคราบเลือด
“สะ สาย ขิม ละ ลูก” ไม่ทันนางมะลิซ้อนจะเอ่ยสิ่งใดกับลูกสาว เพียงลมหายใจอันน้อยนิดดับสิ้นลงอย่างไม่มีวันหวนกลับมา
“แม่ ฮือ ๆ ” สาวน้อยวัยหกขวบโอบกอดร่างไร้วิญญาณของมารดา ปล่อยน้ำตาให้ไหลรินสู่ข้างแก้ม แค่วินาทีเดียวเท่านั้นพรากกชนิภากับมารดา
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเข้ามาปลอบกชนิภา ทว่าเด็กน้อยกลับไม่สนใจยังกอดร่างมารดาอย่างแน่น ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างของนางมะลิซ้อนไป
“หนูจ๊ะ ปล่อยให้พี่ ๆ เจ้าหน้าที่พาแม่หนูไปเถอะ” เสียงสาววัยกลางคนหนึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กน้อย
“ไม่!! แม่ของขิมไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่แม่ของหนูถูกรถชน เสียชีวิตลงแล้วนะ” สาววัยกลางคนคนเดิมยังคงกล่าว
“ไม่จริง แม่ของขิมยังอยู่ ฮึก ฮือ แม่ฟื้นขึ้นมาสิ!!”
ระหว่างทางกลับจากสัมมนาสาวิตรีเห็นถึงความผิดปกติ บนท้องถนน ผู้คนต่างยืนรายล้อมอย่างหนาแน่น ด้วยความแปลกใจเธอหยุดชะลอรถลง
ทันใดนั้นสายตาปะทะเข้ากับร่างของนางมะลิซ้อนนอนนิ่งกับพื้นถนน โดยข้างกายมีสาวน้อยกชนิภาร้องห่มร้องไห้กอดร่างมารดา
สาวิตรีไม่รอช้ารีบเดินมุ่งไปยังจุดมุ่งหมาย
“สายขิม” เธอเอ่ยเรียกกชนิภาอย่างแผ่วเบา มือบางแตะบนไหล่ของเด็กน้อย
“คุณนาย” เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เด็กน้อยผละออกจากร่างมารดาหันไปกอดสาวิตรีแทน
ผู้ที่พึ่งมาใหม่กำลังงุนงงกับเหตุการณ์ กระทั่งมีเสียงของสาววัยกลางคนดังขึ้น
“แม่หนูรู้จักกับคนตายเหรอ”
“เอ่อ คือ” สาวิตรีไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะตอนนี้เธอกำลังตกใจสุดขีด
“ถ้าแม่หนูรู้จักกับคนตาย ช่วยเกลี้ยกล่อมเด็กคนนี้หน่อย ตอนนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยรอตั้งนานแล้ว” สาววัยกลางคนอธิบายแก่สาวิตรีให้เข้าใจ
“ค่ะ เดี๋ยวสาช่วยพูดกับเด็กเอง” สาวิตรีตอบรับกับสาววัยกลางคนก่อนจะพูดกับเด็กน้อยในอ้อมกอด
“สายขิมจ๊ะ แม่ของหนูไปสบายแล้วนะ สายขิมปล่อยให้พี่ ๆ เจ้าหน้าที่พาร่างของแม่หนูไปนะ” สาวิตรีพยายามพูดปลอบประโลมกชนิภาอย่างนุ่มนวล
“ฮือ ๆ ขิมไม่ให้ใครเอาแม่ขิมไปไหนทั้งนั้น” กชนิภาเด้งตัวออกจากอ้อมกอดสาวิตรีหันไปกอดมารดาต่อ
“สายขิมจ๊ะ อย่างอแงนะกลับบ้านกับฉันเถอะ ฉันจะพาหนูไปกินของอร่อย ๆ”
“ไม่!! ขิมจะอยู่กับแม่ ฮือ ๆ แม่รีบฟื้นมาสิ” มือน้อยกชนิภาเขย่าร่างมารดาเบา ๆ
“สายขิมพอเถอะ แม่ของหนูไปสบายแล้ว” สาวิตรีทนเห็นภาพความเจ็บปวดของเด็กน้อยไม่ไหว คว้าร่างน้อยมากอดแนบกอดอก ปล่อยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างไร้วิญญาณของนางมะลิซ้อนไป
“แม่...อย่าพาแม่ของขิมไป” เด็กน้อยกรีดร้องเสียงดัง จู่ ๆ ก็สลบลงคาอ้อมกอดสาวิตรี
“สายขิม สายขิม” สาวิตรีเรียกหลายครั้งไร้การตอบกลับรีบอุ้มร่างกชนิภาพาไปโรงพยาบาลทันที
สาวิตรีมาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หญิงสาวรีบพาร่างสาวน้อยในอ้อมกอดตรงไปห้องฉุกเฉิน
“หมอคะ ช่วยด้วยค่ะ” สาวิตรีตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“คนไข้เป็นอะไรมาคะ” พยาบาลสาวสวยนางหนึ่งวิ่งเข้ามาถาม ตามตัวของกชนิภาเต็มไปด้วยคราบเลือด
“น่าจะเกิดอาการช็อกค่ะ”
“แล้วทำไมถึงมีเลือด” พยาบาลสาวสวยยังคงซักไซ้ต่อ
“แม่ของเด็กถูกรถชน” สาวิตรีพูดเพียงเท่านั้น พยาบาลคนดังกล่าวเข้าใจทันที
“งั้นวางเด็กลงเลยค่ะ”
ร่างกชนิภาถูกวางบนเตียงฉุกเฉินและถูกเข็นพาเข้าไปข้างในห้องฉุกเฉิน
สาวิตรีนั่งคอยอย่างกระวนกระวายใจคาดไม่ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้กับคนใกล้ชิด ยิ่งนึกยิ่งสงสารสาวน้อยวัยหกขวบไม่รู้จะเป็นเช่นไรบ้างหลังจากนี้
“ใครเป็นญาติคนไข้ครับ” เสียงแพทย์ดังขึ้นปลุกร่างสาวิตรีตื่นจากภวังค์
“ฉันค่ะ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหาแพทย์หน้าประตูห้องฉุกเฉิน
“คุณเป็นอะไรกับคนไข้ครับ”
“เธอเป็นหลานของสาค่ะ” สาวิตรีจำเป็นต้องโกหกสถานะระหว่างตนเองกับกชนิภา เพราะไม่อยากให้เรื่องยืดยาวไปมากกว่านี้
“อืม”
“แล้วสายขิมเป็นอย่างไรบ้างคะ เอ่อ ฉันหมายถึงเด็กคนนั้น”
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ หลังจากคนไข้ฟื้นขึ้นมาสามารถกลับบ้านได้เลย อีกอย่างนะครับผมทราบเรื่องจากนางพยาบาลแล้วว่าเด็กพึ่งสูญเสียมารดา ผมอยากให้คุณดูแลเรื่องสภาพจิตใจของเด็กหน่อยนะครับ กลัวว่าเด็กจะซึมเศร้า”
“ได้ค่ะ สาจะดูแลเป็นอย่างดีเลย ขอบคุณหมอมากนะคะ” สาวิตรีพนมมือสองข้างไหว้แก่ชายตรงหน้า
“อืม ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน”
“ค่ะ” สาวิตรีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
