บทที่ 3
ชายหนุ่มเดินตามหลังคนงานสาวมาด้านหลังของตึกเป็นลานกว้างสำหรับให้นั่งเล่น มีนั่งร้านต้นไม้ปลูกให้มีไม้เลื้อยประดับทำให้พื้นที่บริเวณนั้นร่มรื่นเสียเหลือเกิน มาคียะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหินแล้วมองไปบรรยากาศรอบๆ ที่นี่น่าอยู่เสียเหลือเกิน
“คุณบอกว่าคุณมาหาคุณอรุณีเรื่องอะไรนะ” หญิงสาวพยายามปรับคำพูดให้ชัดขึ้น
“มาหาเรื่องคน” เขาก็บอกไปแล้วว่ามาเรื่องอะไรยังจะมาถามอีก ชักจะเหนื่อยกับคนที่นี่เสียแล้ว
“เรื่องคน คุณมาหาใคร” สีหน้าเธอมีความสงสัยอยู่บนใบหน้าชัดเจน
“ผมไม่ทราบ มีหน้าที่แค่มาหาคุณอรุณีแล้วบอกธุระกับท่าน ซึ่งคงไม่ต้องให้คุณรู้หรอกนะ” เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาหาใคร แค่ได้รับคำสั่งให้มาเท่านั้นเอง
“ไม่ได้” สาวผมแดงขึ้นเสียงทันที หญิงสาวเชิดหน้านิดๆ
“ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในไร่ต้นรักฉันต้องรู้ทุกเรื่อง คุณต้องบอกฉันมาก่อนว่าคุณมาหาคนน่ะ มาหาใคร” ปลายเสียงเหมือนจะถามด้วยความอยากรู้เต็มที่
มาคียะหรี่ตามองแม่สาวหัวแดงที่เขาคิดว่าเป็นคนงานจาก ประเทศท้องถิ่น คนนี้ ท่าทางจะต้องรู้ให้ได้เสียกระมังว่ามาพบคุณอรุณีด้วยเรื่องอะไร
แต่นั่นไม่ใช่นิสัยคนอย่างเขา เรื่องอะไรต้องรายงานให้แม่คนงานท่าทางประหลาดคนนี้รู้ ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะนิ่งไม่ตอบอะไร
คราวนี้แม่สาวผมแดงดูจะร้อนรนอยากรู้ว่าชายหนุ่มมาด้วยเรื่องอันใด หญิงสาวจึงพยายามหาทางให้มาคียะยอมเปิดปากบอกออกมาให้ได้ว่ามาพบ คน แล้วคนๆนั้นเป็นใคร
“ถ้าคุณยอมบอกฉันว่าคุณมาหาคนชื่ออะไร บางทีฉันอาจจะพาคุณไปหาคนๆ นั้นเลยก็ได้ ไม่ต้องผ่านคุณอรุณี” เธอพยายามเกลี้ยกล่อม
“หึๆ...” มาคียะหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
แม่สาว ประเทศท้องถิ่น คนนี้ท่าทางฉลาดกว่าที่คิดไว้ มีการตะล่อมหลอกถามด้วย แต่ชายหนุ่มไม่เล่นด้วยไม่คิดจะเสียเวลากับเธอแล้ว
“ไม่เป็นไร ถ้ามาออฟฟิศแล้วไม่ได้เรื่องพบคุณอรุณีไม่ได้ งั้นเดี๋ยวผมไปหาคุณอรุณีเองดีกว่า” ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที
“เดี๋ยว...” สาวน้อยถลันมายืนขวางทางชายหนุ่มทันที
“คุณรู้เหรอว่า คุณอรุณีอยู่ที่ไหน”
‘ท่าทางหมอนี่ชักจะยังไงๆ แล้ว’ หญิงสาวคิดระแวงในใจ
ดูจากการแต่งตัวและคำพูดคำจาแล้วเขาไม่น่าใช่พ่อค้าที่มาสร้างความวุ่นวายเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ก็ไม่น่าจะเป็นคนที่จะมีธุระกับคุณอรุณีได้ ในเมื่อวันๆ คุณอรุณีอยู่แต่ไร่และไม่คิดจะสมาคมกับใครที่ไหน หมอนี่มาทำไมกันแน่
“เอางี้ คุณไปกับฉัน ฉันพาคุณไปหาคุณอรุณีก็ได้”
มาคียะอมยิ้มนิดๆ แม่สาวคนนี้ฉลาดเลือกที่จะติดตามไปทุกฝีก้าวเพื่อให้ได้รู้เรื่องราวที่ตนเองสนใจ
‘ท่าทางว่าคงจะเป็นพวกกระบอกเสียงหรือโทรโข่งประจำไร่ต้นรักแน่ๆ’ เดาว่าคงเป็นคนงานประเภทอยากรู้เรื่องเจ้านายไปซะทุกเรื่อง
“ก็ได้ ว่าแต่จะพาฉันไปได้เหรอ ตามฉันไปไม่โดนตัดเงินเดือนแน่นะ”
‘เชอะ ใครจะกล้าตัดเงินเดือนฉัน รู้ไหมตาทึ่มว่าฉันเป็นใคร’
“ไม่เป็นไร ฉันพาคุณไปได้” หญิงสาวค้อนขวับให้ชายหนุ่มเบาๆ หนึ่งทีเป็นการยืนยัน
เป็นอันว่า มาคียะยอมให้สาวผมแดงขึ้นรถเพื่อนำทางไปพบกับคุณอรุณี
“เธอทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว” เขาอยากรู้ว่าแม่สาวคนนี้รู้เรื่องภายในไร่แห่งนี้มากน้อยแค่ไหน
“สองสามปีได้มั้ง” เธอกำลังคิดว่าจะหาทางพาเขาไปถ่วงเวลาไว้ที่ไหนดีก่อน อย่างน้อยก็ให้หาทาง ส่งข่าว ให้คุณอรุณีรู้ว่า กำลังจะมีคนมาหาและแล้วก็มีทางออก
“จอดก่อนๆ...” สาวผมแดงบอกให้จอดรถกระทันหัน
“มีอะไร” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
เขามองออกไปนอกรถเห็นมีแต่คนงานกำลังทำงานอยู่ที่แปลงสวนผัก ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ต้องสนใจเป็นพิเศษ
“คุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ขอฉันลงไปหาเพื่อนก่อน”
“คนไหนเพื่อนเธอแล้วจะคุยกันนานไหม ฉันไม่มีเวลารอหรอกนะ เดี๋ยวค่อยมาคุยไม่ได้เหรอ” มาคียะทำท่าจะไปต่อ
“อย่า เดี๋ยวก่อน ขอฉันคุยกับเพื่อนแป๊ปเดียวนะ นะ...” หญิงสาวรีบร้องห้ามเสียงหลง
“ได้ แต่เร็วที่สุดนะ ฉันรีบ”
มาคียะนั่งมองวิวรอบๆยังไม่ทันจะเบื่อ แม่สาวผมแดงก็รีบวิ่งขึ้นมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ่อในรถเหมือนเดิมแล้ว
“เสร็จธุระแล้วใช่ไหม คราวนี้ไปได้หรือยัง” ถามด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆ
“ไปโล้ดเลย”
ชายหนุ่มออกรถอีกครั้งตามคำบอกทางของหญิงสาว มาคียะไม่รู้อะไรมาก่อนเลยว่าโชคชะตากำลังจะเริ่มเล่นตลกกับตนนับต่อจากนี้ไป
รถเคลื่อนมาจอดที่หน้าเรือนไม้แห่งหนึ่ง ที่นี่อยู่ไกลจากแปลงปลูกผักพอสมควรบรรยากาศร่มเย็นมากนัก ใช้เวลาเกือบสิบนาทีขับรถผ่านแปลงปลูกผักมานับร้อย ในใจคิดว่าคงจะมาเจอกระท่อมเล็กๆ อยู่ท้ายไร่เป็นแน่ แต่ความจริงไม่ใช่ ที่นี่สวยมาก สวยเหมือนรูปในแมกกาซีนที่เคยเห็นสถานที่ท่องเที่ยวตามหนังสือเหล่านั้นเลย
“สวยล่ะซิ” เสียงทักเหมือนจะอวดของดี แต่มาคียะเห็นด้วยว่าที่นี่สวยจริงๆ
“จะยืนดูหรือจะขึ้นไปข้างบน” หญิงสาวถาม
“เธอจะขึ้นไปกับฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหันหน้ามาย้อนถามด้วยความสงสัย
อะไรกัน! ที่นี่เขาให้คนงานเข้าออกบ้านเจ้านายได้ตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ
“อืม” หญิงสาวพยักหน้าย้ำเป็นคำตอบสุดท้าย แล้วเดินนำหน้าขึ้นไปบนเรือนทันที
“แปลกนะ ไม่ยักรู้ว่าไร่ต้นรักให้ความเป็นกันเองกับคนงานในไร่ขนาดนี้” มาคียะเอ่ยลอยๆ ขึ้นมา
เขาอยากให้การมาพบกับคุณอรุณีเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ ไม่ต้องการให้ใครมารับรู้เรื่องสำคัญที่มา โดยเฉพาะพวกปากโทรดข่งอย่างแม่สาวผมแดงคนนี้
“ถ้าคุณอยากพบคุณอรุณีก็ตามมา” หญิงสาวหันหน้ามาตอบทันที ดวงตาของเธอวาวด้วยความโกรธแต่ก็ข่มไว้ในใจไม่แสดงออกมา
‘อยากรู้นักเชียว จะทำหน้าอย่างไรถ้ารู้ว่าฉันเป็นใคร’
คนถูกเข้าใจผิดเดินนำหน้าชายหนุ่มขึ้นไปบนเรือนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บนเรือนประดับตกแต่งด้วยเครื่องเรือนของใช้เข้าชุดกันอย่างสวยงาม ลายไม้ที่ถูกขัดจนขึ้นเงาบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของเรือนดูแลเป็นอย่างดี
มาคียะเดินเข้าไปที่ห้องโถงกลางของเรือน ที่นั่น ชายหนุ่มเห็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาบ่งบอกว่าใจดีนั่งเคียงคู่อยู่กับชาวต่างชาติที่ใส่เสื้อม่อฮ่อมกางเกงขาก๊วยมีผ้าขาวม้าคาดเอวนั่งอยู่ด้วยทั้งคู่ยิ้มให้ผู้มาเยือนอย่างเป็นมิตร
ชายหนุ่มพนมมือไหว้ทักทายทั้งสองอย่างนอบน้อม ไม่รู้ว่าใครเป็นใครและมีความสำคัญอย่างไร แต่เพราะถูกเลี้ยงมาให้เคารพผู้ใหญ่ทำให้แสดงออกได้อย่างไม่เคอะเขิน
“เชิญนั่งก่อนค่ะ เห็นเด็กบอกว่า คุณขอพบดิฉันไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือคะ” หญิงวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ผมชื่อมาคียะ ยุทธไกรเป็นลูกชายของคุณยุทธ ยุทธไกร ไม่ทราบว่าคุณอรุณีพอจะรู้จักไหมครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวให้อีกฝ่ายรู้
เพียงแค่ได้ยินชื่อของยุทธ ยุทธไกร สีหน้าของฝ่ายตรงข้ามก็ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
“คุณพ่อให้ผมมาเรียนให้คุณอรุณีทราบว่า ผมมารับคนกลับบ้านครับ” สิ้นคำพูดของชายหนุ่มนั้น ร่างของอรุณีเป็นล้มพับไปต่อหน้าต่อตาทันที
สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องตกใจมากไปกว่านั้นก็คือ แม่สาวผมแดงที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนงาน ประเทศท้องถิ่น ในไร่ต้นรักกระโจนเข้ามาที่ร่างคุณอรุณีก่อนใครเพื่อนแล้วตะโกนเรียกเสียงดังลั่น
“มัมคะ”
สาวผมแดงเปลี่ยนเป็นแม่เสือร้ายขึ้นมาทันที หญิงสาวตะโกนไล่ชายหนุ่มเสียงดังลั่นเรือนด้วยความโกรธ
“ไปนะ ออกไปเลย คุณเอาอะไรมาบอกมัมฉัน คอยดูนะถ้ามัมเป็นอะไรฉันเอาเรื่องคุณแน่” หญิงสาวประกาศลั่นเรือน
เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกคนอื่นพากันวิ่งหน้าสลอนออกมาอีกหลายคน ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดอะไรขึ้นตามมามากกว่านั้น ชายสูงวัยชาวต่างชาติที่ประคองร่างของคุณอรุณีก็เดินเข้ามาหาชายหนุ่มใกล้ๆ
“คุณกลับไปก่อน รอให้ภรรยาผมฟื้นแล้วเราจะติดต่อกลับไปอีกที”
มาคียะยืนงงกับสิ่งที่เกิดไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดถึงทำให้เรื่องวุ่นวายขนาดนี้ ชายหนุ่มเดินลงจากเรือนไปอย่างว่าง่าย ตัดสินใจทำตามที่เจ้าของบ้านขอ ไปตั้งหลักรอที่ไหนสักแห่งก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
