เล่ห์รักแอนนิต้า
บทย่อ
“พ่อจะให้ผมไปรับเมื่อไร” “ไปรับวันนี้แล้วพากลับมาอยู่ที่บ้านแกด้วย” “ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่จะให้พักสักกี่วันล่ะครับ แล้วพ่อจะลงมาเจอตัวหรือให้ผมพาไปส่งที่ไหน” “อยู่บ้านแกไปเลยเจ้ามาร์ก อ้อ! อีกเรื่องคือทำยังไงก็ได้ ให้คนที่พ่อให้ไปรับกลายเป็นหงส์ฟ้าที่พร้อมจะเข้าสังคมให้ได้ภายในสามเดือน” “พ่อว่าไงนะครับ” มาคียะสะดุ้งสุดตัว เขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า “ให้พักบ้านผมสามเดือน แล้วหาทางทำยังไงก็ได้ให้คนของพ่อคนนี้กลายเป็นหงส์ฟ้าภายในสามเดือน แล้วตอนนี้เป็นอะไรล่ะครับ ผมงงไปหมดแล้ว”
บทที่ 1
เสียงโทรศัพท์มือถือดังลั่นห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินขาว บ่งบอกความเป็นตัวตนของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
“โอ๊ย! จะโทร.มาทำไมตอนนี้” น้ำเสียงแสนจะหงุดหงิดที่มีคนมาขัดจังหวะการนอนอันมีคุณค่าของเขา ตายังไม่ยอมลืมแต่มือยังทำหน้าที่ควานหาไปให้ทั่วจนเจอในที่สุด
“มาคียะพูดสายครับ” เจ้าของเครื่องสะลึมสะลือทักทาย
“เจ้ามาร์ก นี่พ่อนะ”
แค่ได้ยินเสียงว่าเป็นใครเท่านั้น ดวงตาทั้งสองข้างพร้อมใจกันเบิกกว้างสติสัปปชัญญะกลับคืนสู่ร่างในเวลาอันรวดเร็ว กายคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่รีบยันตัวเองขึ้นนั่งตัวตรงทันที
“พ่อมีอะไรครับ โทร.มาแต่เช้าเชียว” น้ำเสียงคนพูดค่อยดูแจ่มใสขึ้นมาหน่อย
มาคียะหรือมาร์ก ยุทธไกรอินทีเรียดีไซน์หนุ่มที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับในวงการวัย 30 ปี กำลังรับโทรศัพท์จากยุทธ ยุทธไกรอดีตทนายความมือดีคนหนึ่งของวงการกฎหมายที่ผันตนเองไปเป็นชาวไร่ชาวสวนอยู่ต่างจังหวัดในเวลานี้
ยุทธเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน ตลอดจนถึงลูกความหลายๆ คนที่เคยได้ใช้บริการในวิชาชีพของเขา
“แกตื่นหรือยัง เจ้ามาร์ก” ชายสูงวัยมองดูนาฬิกาที่อยู่ข้างฝาบ้านก็พอจะรู้
เวลานี้คงจะยังเช้าไปสำหรับการที่จะโทรศัพท์ปลุกให้ลูกชายลุกขึ้นมาทำภาระกิจสำคัญในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้
“พ่อมีอะไรว่ามาครับ ผมกำลังจะลุกพอดี” แม้ว่าเมื่อคืนนี้จะนอนดึกแค่ไหน แต่ทุกเรื่องของบิดาสำคัญเสมอ
ลูกชายตัวดีลุกขึ้นจากเตียงแล้วออกไปเปิดผ้าม่านเพื่อรับแสงแดดในยามเช้าให้ส่องเข้ามาในห้อง พลางสอดส่ายสายตาดูต้นไม้ใบหญ้าที่ตนปลูกไว้รอบบ้านเพื่อให้รู้สึกสดชื่น
“มีธุระจะใช้แกหน่อย”
“จะให้ผมทำอะไรครับ” ชายหนุ่มย้อนถามทันที
พ่อจะไหว้วานให้ทำอะไร ตั้งแต่วางมือไปเป็นชาวสวนก็ไม่เคยจะใช้ให้ไปทำอะไรในแบบ ‘ที่เคยทำ’ แม้แต่ครั้งเดียว
“แกไปรับคนให้พ่อหน่อย” บิดาบอกจุดประสงค์
มาคียะถึงบางอ้อ เรื่องเดิมๆ ที่เคยให้ทำเมื่อครั้นสมัยที่บิดายังอยู่ในแวดวงอาชีพที่รัก ว่าแต่คราวนี้จะให้ไปรับใครและคงเป็นคนสำคัญมากเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่รีบโทรศัพท์มาสั่งงานเองแน่
“พ่อจะให้ผมไปรับเมื่อไร”
“ไปรับวันนี้แล้วพากลับมาอยู่ที่บ้านแกด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่จะให้พักสักกี่วันล่ะครับ แล้วพ่อจะลงมาเจอตัวหรือให้ผมพาไปส่งที่ไหน”
“อยู่บ้านแกไปเลยเจ้ามาร์ก อ้อ! อีกเรื่องคือทำยังไงก็ได้ ให้คนที่พ่อให้ไปรับกลายเป็นหงส์ฟ้าที่พร้อมจะเข้าสังคมให้ได้ภายในสามเดือน”
“พ่อว่าไงนะครับ” มาคียะสะดุ้งสุดตัว เขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ให้พักบ้านผมสามเดือน แล้วหาทางทำยังไงก็ได้ให้คนของพ่อคนนี้กลายเป็นหงส์ฟ้าภายในสามเดือน แล้วตอนนี้เป็นอะไรล่ะครับ ผมงงไปหมดแล้ว”
งานดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงชักไม่แน่ใจว่ามันจะง่ายเหมือนเดิมหรือเปล่า แปลกที่ทำไมต้องมีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แล้วคนที่ให้ไปรับเป็นใครกันทำไมต้องทำแบบนี้
“อย่าเพิ่งถามมากได้ไหม ให้เวลาแกไปเตรียมตัวครึ่งชั่วโมง ทันทีที่ล้อรถหมุนพ่อจะเล่าทุกอย่างให้ฟังเอง” คุณยุทธปัดที่จะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้
เขาไม่มีเวลาจะอธิบายให้ฟัง เพราะถ้าเล่าก็คงจะยาวและจะตอบคำถามอีก108ประการที่เจ้าลูกชายตัวดีอยากรู้
“แล้วพ่อจะให้ผมล้อหมุนไปไหนล่ะครับ” แม้จะไม่เข้าใจในคำสั่งตอนนี้ แต่มาคียะก็พร้อมจะทำตามที่บิดาสั่ง
“ราชบุรี อีกสิบนาทีพ่อจะส่งแผนที่ให้” คุณยุทธวางโทรศัพท์ลงทันที
มาคียะพร้อมออกเดินทางแล้ว ชายหนุ่มเดินลงมาชั้นล่างเพื่อหาอะไรรองท้องง่ายๆ ตามประสาคนโสด สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษที่เครื่องโทรสารคงจะเป็นแผนที่ที่คุณยุทธส่งมาให้แน่
“ออกเดินทางแล้วใช่ไหม” คุณยุทธโทรศัพท์กลับมาหามาคียะอีกครั้ง
“ครับพ่อ ผมได้แผนที่แล้วกำลังจะเดินทาง ว่าแต่พ่อยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้ไปรับใคร”
“ไปที่ไร่ต้นรักแล้วขอพบคุณอรุณี บอกเธอว่าพ่อให้มารับคนกลับบ้าน” คุณยุทธสั่งสั้นๆ
“คนที่ผมต้องไปรับกลับบ้านเป็นใคร สำคัญขนาดที่ว่าพ่อต้องโทร.ทางไกลมาสั่งผมด่วนขนาดนี้เลยเหรอ”
ตั้งแต่ที่บิดาเอ่ยปากว่าจะวางมือจากงานทนายความเพื่อไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ต่างจังหวัด เขาก็ไม่เห็นว่าคุณยุทธคิดจะกลับมาทำงานแบบนี้อีกเลย แม้ว่าจะมีลูกความเก่าๆ หรือเพื่อนฝูงที่สนิทสนมบางคนมาเอ่ยปากชวนหลายครั้ง แต่ก็ได้รับการปฎิเสธไปแทบทุกครั้งด้วยเหตุผลว่า แก่แล้วอยากจะอยู่อย่างสงบ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ดูท่าว่างานนี้คงสำคัญจริงๆ จนถึงกับต้องลงมือทำเอง โดยให้เขาเป็นเรี่ยวแรงในการทำงานให้ อยากรู้จริงๆ เลยว่า งานนี้เป็นงานของใครกันทำไมถึงได้ให้ความสำคัญนัก
“คนที่ต้องไปรับเป็นผู้หญิง หน้าที่ของแกคือดูแลเธอให้ดี หาทางทำอย่างไรก็ได้ให้พร้อมที่จะปรากฎตัวสู่สังคมในฐานะทายาทคนเดียวของครอบครัวปุณยนันท์” บิดาค่อยๆ เฉลยออกมา
มิน่าเล่า! เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง เรื่องของครอบครัวปุณยนันท์ยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอในชีวิตของคุณยุทธ
เดิมทีคุณยุทธเป็นทนายความประจำตระกูลของบ้านปุณยนันท์ ซึ่งทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ไว้วางใจของคุณหญิงทิพย์ประมุขของบ้าน
คุณยุทธขอลาพักผ่อนในช่วงจังหวะที่คุณเอกภพบุตรชายของคุณหญิงทิพย์ล้มป่วยลง แต่บิดาก็จัดการเรื่องทุกอย่างไว้ให้กับเจ้านายเดิมเรียบร้อยแล้ว
“ไหนพ่อบอกว่าเกษียณแล้วไงครับ ทำไมยังทำงานให้คุณหญิงอีก”
เรื่องราวของบ้านปุณยนันท์ดูจะไม่อยู่ในชีวิตของสองคนพ่อลูกมานานหลายปีแล้ว หลังจากที่คุณยุทธวางมือจากงานทุกอย่างจะมีบ้างก็เป็นครั้งคราว ที่มาคียะจะทำหน้าที่แทนบิดาไปเยี่ยมเยี่ยมสมาชิกทุกคนในโอกาสสำคัญต่างๆ
“ไม่ใช่คำสั่งคุณหญิง แต่เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของคุณเอกภพต่างหาก” คุณยุทธถอนหายใจเบาๆ
ชายวัยกลางคนเพิ่งได้รับโทรศัพท์ทางไกลเมื่อหลายวันก่อน เรื่องอาการป่วยของเอกภพมีท่าทีว่าจะทรุดหนักลงด้วยโรคประจำตัวโรค ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะรักษามันให้หายขาด เดาว่าคงปล่อยเวลาจมอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่ฝังใจจนนาทีสุดท้าย
ความหวังเดียวของเอกภพคืออยากพบใครบางคนที่พลัดพรากไปนาน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คุณยุทธร้อนใจจนต้องสั่งให้มาคียะต้องเดินทางอย่างฉับพลันเช่นนี้
“อย่าเพิ่งถามอะไรมากตอนนี้เลยเจ้ามาร์ก ไปถึงไร่ต้นรักแล้วรับคนกลับมาได้ แล้วพ่อจะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจเอง” คุณยุทธตัดบทสั้นๆ
คุณยุทธวางโทรศัพท์ลงไปนานแล้ว แต่สมองของมาคียะกำลังทำงานอย่างต่อเนื่อง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นถึงทำให้บิดาต้องลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเขายังจำได้ว่า หลายครั้งที่ต้องทำหน้าที่สารถีจำเป็นรับส่งลูกความที่ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง หรือบางครั้งก็ทำหน้าที่เป็นม้าเร็วรับส่งเอกสารให้
จนเมื่อเรียนจบมีบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในเป็นของตนเองแล้ว บางครั้งคุณยุทธก็ยังไหว้วานให้ทำหน้าที่เช่นเดิม
‘พ่อว่าจะกลับไปอยู่บ้านที่เมืองกาญจน์ซะหน่อย แกอยู่กรุงเทพฯคนเดียวได้หรือเปล่า’ คุณยุทธถามบุตรชายในคืนหนึ่งหลังจากที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
‘พ่อไม่ต้องมีห่วงผม ผมดูแลตัวเองได้ว่าแต่พ่อเถอะ ถ้าไปอยู่ที่โน่นแล้วใครจะดูแลพ่อล่ะครับ’ เขาเป็นห่วงคุณยุทธมากกว่า ทั้งสองอยู่กันมาสองคนพ่อลูกจนกระทั่งบัดนี้ บิดาก็ไม่คิดจะมีแม่เลี้ยงหรือใครเข้ามาแทนที่มารดาที่จากไป
‘เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พ่อดูแลตัวเองได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยโทร.บอกให้แกไปรับกลับมา’
‘แล้วพ่อไม่ทำงานที่บ้านปุณยนันท์แล้วเหรอครับ คุณหญิงยอมให้ลาออกง่ายๆ เหรอ’