บทที่ 4
“เป็นญาติกันทำไมไม่มีเบอร์โทรไว้ติดต่อ” โสภิตายังตั้งข้อสงสัย
“มี...แต่เบอร์มันหายไปกับโทรศัพท์ที่ถูกขโมยไปนั่นแหละ” ยอดอธิบายลูกสาว เพราะเดาออกว่าโสภิตายังคงระแวงราเชน ซึ่งเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไร
“หวานเข้าไร่ก่อนนะคะพ่อ”
“อืม...ไปเถอะลูก” น้ำเสียงของยอดนั้นยังคงอบอุ่นรวมถึงแววตาที่ทอดมองมายังโสภิตาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ในชีวิตเขารักผู้หญิงอยู่แค่สามคนเท่านั้น คนแรกคือมารดาของเขาเอง คนที่สองคือภรรยามารดาของโสภิตาและคนที่สามคือลูกสาวคนนี้คนที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
เมื่อก่อนเขาบุกเบิกที่นี่เพื่อสร้างเป็นรากฐานให้กับครอบครัว ทำมาตั้งแต่เป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า อะไรที่ไม่รู้ก็ค่อยๆ ศึกษาเรียนรู้ แรกๆ ที่โสภิตาเรียนจบมานั้นเขาปล่อยให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ต้องการ สุดท้ายโสภิตาก็ค้นพบว่าต้องการอะไรจึงกลับมาทำไร่และพัฒนาเป็นสมาร์ทฟาร์มยุคใหม่อย่างในปัจจุบัน
ขณะที่โสภิตาเข้าไร่ราเชนก็นั่งพักอยู่ในห้อง แผลตรงหน้าผากดูจะเป็นจุดที่ต้องใช้เวลารักษาพอสมควร ส่วนจุดอื่นๆ ก็ฟกช้ำเป็นส่วนใหญ่ร่างกายจึงยังระบม อยู่ดีไม่ว่าดีเขากลับรนหาที่จนต้องมาเจ็บตัวไกลถึงที่นี่ คงต้องหาจังหวะโทรศัพท์กลับไปหาลูกน้อง ไม่งั้นคงเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
จังหวะที่กำลังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสายตาของราเชนก็มองเห็นโสภิตา เธอกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างอยู่ในไร่ ข้างๆ มีลูกน้องผู้ชายสองคนคอยเป็นลูกมือ ราเชนเผลอมองเธออยู่นานกระทั่งโสภิตาเงยหน้าขึ้นมองกลับมา นั่นทำให้เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่อหลบทันที
“แล้วทำไมเราต้องหลบเธอด้วย” ราเชนเอ่ยถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ชายหนุ่มนอนมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิด บางทีการได้มาเจอโสภิตาการได้มาอยู่มาเจอคนที่นี่อาจทำให้เขาค้นพบสิ่งที่กำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้
ช่วงบ่ายราเชนก็ออกไปนั่งคุยกับยอด เพราะเบื่อการนั่งๆ นอนๆ ในห้อง ซึ่งยอดเองก็เบื่ออยากหาคนคุยด้วยเช่นกัน
“สงสัยเหรอว่าถุงพวกนี้คืออะไร”
“ครับ”
“ยาน่ะ พอดีฉันป่วยเป็นมะเร็ง”
“ระยะไหนแล้วครับ”
“สามค่อนสี่ เรียกว่าตายได้ทุกเมื่อแต่ฉันไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก” ขณะพูดเรื่องความเป็นความตาย ยอดก็มองตรงไปยังโสภิตาเพราะนั่นคือสิ่งที่ห่วงมากที่สุด ซึ่งราเชนก็เข้าใจความหมายเช่นกัน “ถ้าหายแล้วจะไปตามหาญาติอีกหรือเปล่า” ยอดเอ่ยถามขึ้น
“หาครับ” ราเชนตามน้ำไปก่อน เพราะหากพูดความจริงออกไปว่าเขานั้นเป็นใครก็กลัวยอดจะผิดหวังที่เขานั้นกุเรื่องญาติ
“ถ้าไม่เจอล่ะ”
“คงหางานอะไรทำเลี้ยงปากท้องไปก่อนครับ” ราเชนสวมบทคนน่าสงสารไปก่อน เพราะตอนนี้เขายังไม่อยากกลับกรุงเทพฯ อยากอยู่ที่นี่ไปสักพัก
“ถ้าไม่มีที่ไปก็มาทำงานเสียที่นี่”
“ขอบคุณมากครับ” คำขอบคุณดังมาจากราเชน ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณน้ำใจที่ยอดมีให้รวมถึงน้ำใจของโสภิตาเองก็ด้วย ราเชนนั่งคุยกับยอดกระทั่งอีกฝ่ายขอตัวไปเอนหลังเพราะยาที่กินเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์ ราเชนจึงใช้จังหวะนั้นลงไปเดินเล่นในไร่
บรรดาลูกน้องรู้ว่าชายหนุ่มคือคนที่โสภิตาช่วยเอาไว้เมื่อวาน บางคนก็แค่มองแต่บางคนก็เดินมาถามไถ่อาการบาดเจ็บรวมถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น ราเชนก็เล่าเหมือนที่เล่าให้ยอดและโสภิตาฟังเพราะมันคือเรื่องจริง ก่อนจะเลียบๆ เคียงๆ ขอยืมโทรศัพท์กระทั่งได้มา ราเชนใช้เวลาคุยโทรศัพท์ราวๆ สองสามนาทีก็วางสายไป แล้วก้มมองของสำคัญในมือที่เขานั้นรักษามันเป็นอย่างดี
ราเชนอยู่ที่ไร่ของโสภิตาได้หลายวันแล้ว แผลใหญ่สุดตรงหน้าผากก็เริ่มหาย ส่วนแผลฟกช้ำตามร่างกายก็เหลืออีกนิดๆ หน่อยๆ เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้โสภิตาเป็นคนหามาให้ ซึ่งเธอไปขอแบ่งมาจากลูกน้องอีกที
ทุกวันราเชนมักจะลงไปช่วยงานในไร่ หยิบนั่นทำนี่จนมือที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเกิดอาการแดงช้ำ ตากแดดจนผิวไหม้เกรียม แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มกลับไม่ปริปากบ่น
รวมถึงความสนิทสนมที่เกิดขึ้นกับยอดซึ่งคนที่นี่เรียกว่าพ่อนายก็มีมากขึ้น ไปไหนมาไหนสองคนนี้ก็มักจะตัวติดกันเสมอ จนโสภิตาที่เป็นลูกแท้ๆ อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“นายคนนั้นไปไหนเสียแล้วละคะพ่อ”
“เห็นบอกจะลงไปช่วยคนงานในไร่”
“ใครเขาให้ช่วยกัน” โสภิตาแกล้งบ่น เพราะบางครั้งราเชนก็ทำเกินหน้าที่ ทำเหมือนคนไม่เคยทำไร่เพราะดูตื่นเต้นไปเสียทุกอย่าง
“พ่อเชนมีน้ำใจช่วยเราก็ควรดีใจไม่ใช่เหรอไง ดีกว่านั่งๆ นอนๆ เสียเวลาไปวันๆ”
“ตอนนี้เขาก็หายดีแล้ว ทำไมเขายังไม่ไปหาญาติอีก”
“เห็นบอกว่าจะไปพรุ่งนี้ ถ้าว่างหวานก็ช่วยขับรถไปส่งเขาหน่อยเพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าที่นี่ถ้าไม่มีรถก็ไปไหนมาไหนลำบาก”
“หวานขอดูงานอีกทีนะคะ” โสภิตาไม่รับปาก ยอดส่ายหน้าให้ลูกสาวที่ยังคงตั้งแง่กับราเชน ทั้งๆ ที่ราเชนไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ซึ่งยอดมั่นใจว่าตนนั้นมองคนไม่ผิดแน่นอน
วันต่อมาราเชนออกจากไร่ของโสภิตาตั้งแต่เช้าตรู่ จุดหมายของชายหนุ่มยังคงเป็นที่บ้านญาติ เขาตั้งใจมาเพื่อแจ้งข่าวบางอย่างเท่านั้นเองเสร็จธุระก็จะกลับทันที ก่อนออกมายอดให้ยืมรถมอเตอร์ไซค์แต่ความที่เขานั้นขี่ไม่เป็นจึงจอดมันไว้ที่เดิม คนงานก็กำลังยุ่งจึงไม่มีใครพอจะไปส่งราเชนได้
โสภิตาพยายามไม่สนใจชายหนุ่มแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ เธอเดินฉับๆ มาที่รถขาลุยคู่ใจสีขาวแล้วขับออกไปจากไร่พร้อมกับกวาดสายตามองหาใครคนหนึ่งไปด้วย พอเห็นว่าเขาเดินอยู่ไกลๆ จึงเร่งความเร็วรถเข้าไปหาก่อนจะจอดรับ
“คุณหวาน”
“อืม...ขึ้นมาสิ”
“คือ” ราเชนอึกอักกับคำชวนนั้น เพราะรู้สึกเกรงใจเธอนั่นเอง
“จะขึ้นหรือไม่ขึ้น”
“ขึ้นครับขึ้น” เอ่ยบอกเสร็จราเชนก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไปนั่งเบาะหน้าคู่กับเธอทันที โสภิตาจึงขับออกไปพร้อมเอ่ยถามเขาอีกครั้ง
