เล่ห์รักฉบับ CEO

39.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
26
บท
7.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

จูบแรกก็เป็นของเขา จูบครั้งที่สอง สาม สี่ ก็ยังคงเป็นของเขา แบบนี้โสภิตาจะหนีจาก CEO หนุ่มที่เธอบังเอิญผ่านไปช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างไร

นิยายรักโรแมนติกประธานเลขาผู้ชายอบอุ่นพระเอกเก่งเศรษฐีรักหวานๆ

บทที่ 1

จะวันวาเลนไทน์ วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษาออกพรรษา วันคริสต์มาส วันส่งท้ายปีเก่า วันต้อนรับปีใหม่ ไม่ว่าวันไหนๆ โสภิตาก็โสดและฉลองคนเดียวเสมอ เป็นแบบนี้มาตลอดจนเธอนั้นรู้สึกชินและไม่ได้โหยหาความรักจากใครที่ไหน และยังได้รับรู้จากคนใกล้ตัวเสมอว่าความรักมักจะมาพร้อมกับความเจ็บช้ำความทุกข์ใจ ฉะนั้นแล้วในเมื่อเธอไม่อยากทุกข์เพราะรักจึงเลือกที่จะอยู่แบบคนโสดแต่มีความสุข

อ้อ...คนที่ทุกข์เพราะความรักคงยกเว้นรติชาไว้หนึ่งคู่ เพราะรายนั้นรักกันปานจะกลืนกิน คบหากับบอสหนุ่มที่ชื่อว่าปิลันธน์มาก็ได้หลายปีแล้ว แถมช่วงหนึ่งริตชายังบินไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก ต้องใช้ชีวิตไกลกันให้ความคิดถึงทำงาน แต่ทั้งสองก็ยังรักกันดีจนถึงตอนนี้

@#$&^*()_+%$#@

เสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของโสภิตา นั่นทำให้เธอหยุดคิดเรื่องอื่นๆ ไว้ชั่วคราว ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ พอเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอเธอก็รีบกดรับสายในทันที และไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น

กรี๊ดดดดดดด

เสียงร้องกรี๊ดของโสภิตาดังลั่นไร่อะโวคาโด จนทำให้เหล่าคนงานที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพากันวิ่งกรูกันมาดูเจ้านายของพวกตน เพราะมั่นใจว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ๆ แต่สุดท้ายกลับไม่มีอะไรแถมโสภิตายังโบกไม้โบกมือให้กลับไปทำงานต่อเสียอีก ทำเอาเหล่าคนงานเกิดอาการงุนงงไปตามๆ กัน

โสภิตาสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ แล้วกรี๊ดออกมาสุดเสียงอีกครั้งทำเอารติชาหูแทบแตก ถึงขนาดต้องยื่นโทรศัพท์ออกห่างจากหูก่อนชั่วคราว

“บอสขอแกแต่งงานแล้วจริงๆ เหรอ” ไปๆ มาๆ โสภิตาก็เรียกปิลันธน์ว่าบอสจนติดปากไปอีกคน ทั้งๆ ที่คำว่าบอสไม่ใช่ชื่อเล่นแต่มันคือตำแหน่งหน้าที่การงานของชายหนุ่ม

“อื้อ”

“ขอกรี๊ดอีกทีได้ไหม”

“ตามสบาย” เอ่ยบอกเสร็จรติชาก็ยื่นโทรศัพท์ไปทางอื่นก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้ยินเสียงกรี๊ดของโสภิตาอยู่ดี พอเสียงกรี๊ดสงบลง จึงแซวกลับไป “คอแตกยังยะ”

“ยัง”

“ดีใจอะไรปานนั้น”

“ดีใจที่เพื่อนรักจะลงจากคาน” คำพูดของโสภิตาทำให้ริตชาหัวเราะออกมา นั่นเพราะเธอก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอคนที่ใช่ถึงขนาดอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกันมาก่อน กระทั่งปิลันธน์เข้ามาเปลี่ยนความคิดนั้น

“เวอร์วัง”

“เหลือแค่ฉันสินะ เฮ้อออ” เอ่ยจบโสภิตาก้แกล้งถอนหายใจออกมา ทั้งๆ ที่อยู่โสดๆ งานยุ่งๆ อย่างในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว

“อ้าวๆ อย่าพึ่งเข้าโหมดตัดพ้อชีวิต”

“โทษที ลืมตัว” คนแกล้งทำก็ยังเล่นละครตามน้ำไปเรื่อย

“ยังไงแกก็ต้องมางานแต่งฉัน” รติชากำชับ

“ไม่บอกก็ไปย่ะ ไปล่วงหน้าให้สามวันด้วยอะ”

“ดีๆ เพราะฉันอยากมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ อุ่นใจ” พอจะสละโสดเข้าจริงๆ ว่าที่เจ้าสาวก็อดที่จะเครียดไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเธอนั้นต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง

“มีสามีแล้วยังอยากมีเพื่อนอีกเหรอ” คนโสดเอ่ยแซวคนที่กำลังจะแต่งงาน

“คนละส่วนกันไหม อ้อ...บอกไว้ก่อนว่างานแต่งฉันไม่รับแขกที่มาคนเดียวนะ”

“อ้าว กฎอะไรของแกเนี่ย ไม่สงสารคนไม่มีคู่บ้างเลย” โสภิตาแอบมองบนใส่เพื่อนสนิทที่ออกกฎมาใช้แค่กับเธอคนเดียวแน่ๆ

“ไม่มีก็หาได้แล้ว ไม่ใช่วันๆ หมกตัวทำงานอยู่แต่ในไร่”

“ฉันยังสนุกกับงาน ยังไม่อยากมีใครให้วุ่นวาย อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดี ไม่ได้โหยหาความรักสักหน่อย”

“แต่ถ้าแกควงใครมางานแต่งงานฉันได้ ฉันให้เลยเงินสดหนึ่งแสน”

“พูดเล่น”

“พูดจริง ถือว่านั่นคือมิชชั่นนะยะ แกต้องมีคนควงมางานแต่งฉัน ตกลงตามนี้ โอเค” รติชาพูดเองเออเองจนโสภิตานั้นค้านไม่ทัน

“เดี๋ยวสิ ฉัน...” พูดยังไม่ทันจบประโยค รติชาก็ชิงวางสายไปเสียแล้ว “ยายปิ่นนี่ ฉันไปตกลงกับแกตั้งแต่เมื่อไหร่

เล่ายะ” โสภิตาบ่นผ่านโทรศัพท์

เธอกับรติชานั้นรู้จักและคบหากันเป็นเพื่อนมานาน แรกๆ ในแก๊งก็มีหลายคนแต่พอนานวันเข้าก็เหลือกันอยู่แค่สองคน ทั้งเธอและรติชาต่างอยู่ในเกือบทุกๆ เหตุการณ์ของชีวิต มีอะไรก็ปรึกษาและให้กำลังใจกันเสมอ แต่พอรู้ว่ารติชาจะแต่งงานแบบนี้ใจโสภิตาก็รู้สึกหวิวๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันนะ

ไม่ใช่ว่าเธอนั้นไม่อยากมีความรัก แค่คิดว่าตอนนี้อะไรๆ มันยังไม่ลงตัว เธอยังมีงานที่ต้องทำ ยังมีพ่อที่ป่วยต้องดูแล ถ้ามีอีกคนเพิ่มเข้ามาเขาจะรักเธอในแบบที่เธอเป็นได้จริงๆ หรือเปล่า จะเข้าใจงานที่เธอทำและเข้ากับพ่อของเธอได้ไหม ในเมื่อยังกังวลต่างๆ นานา สุดท้ายเธอจึงเลือกที่จะยังไม่เปิดใจให้ใคร

“พ่อ...ออกมาทำไม แดดยังร้อนอยู่เลย”

“แค่รู้สึกเบื่อๆ เลยขอออกมาเดินเล่นหน่อย” ยอดเอ่ยบอกลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ตอนนี้เขากำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งแม้จะผ่านการรักษามาหลากหลายวิธีแต่สุดท้ายก็ยังเอาชนะมันไม่ได้ เมื่อเอาชนะไม่ได้จึงปรับจูนความคิดให้อยู่กับมันได้อย่างคนปกติทั่วๆ ไป รักษาไปตามอาการ

“เบื่อยังไงก็ไม่ควรออกมาตอนแดดแรงๆ แบบนี้”

“ขี้บ่นตั้งแต่เมื่อไหร่...หืม”

“ตั้งแต่พ่อดื้อ”

“ตอนเด็กๆ ที่เราดื้อพ่อยังไม่บ่น”

“พูดแบบนี้หวานแย้งไม่ถูกเลย อะๆ อยากเดินก็เดิน แต่อย่าไปตรงนั้นนะคะ คนงานตัดหญ้าอยู่” โสภิตาชี้ไปยังทิศทางที่คนงานกำลังตัดหญ้าด้วยเครื่องยนต์

เมื่อก่อนตอนที่พ่อเธอยังแข็งแรง งานตัดหญ้าในไร่พ่อเธอนั้นจัดการเองทั้งหมด บรรดาลูกน้องได้แต่ยืนมองตาปริบๆ เพราะเจ้านายไม่ยอมให้ช่วย

งานในไร่มีอะไรให้ทำมากมายนับไม่ถ้วน แม้แรกๆ ที่เรียนจบมาเธอจะปฏิเสธไม่ยอมกลับมาสานต่อ มัวแต่อยากเป็นสาวออฟฟิศแต่งตัวสวยๆ เสียภาษีสังคมแพงๆ กินข้าวมื้อเป็นพันธุ์กาแฟแก้วละหลายร้อย แต่พอได้กลับมาลองทำเธอก็ค้นพบความสุข นั่นคือจุดเริ่มต้นการสานงานทุกอย่างต่อจากผู้เป็นพ่อ