บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

“พ่อ” โสภิตาเรียกผู้เป็นพ่อเสียงอ่อย แต่ยอดนั้นกลับไม่หันมามองได้แต่เดินหัวเราะชอบใจกลับห้องนอนของตัวเองไป ส่วนฝนที่หยุดไปเมื่อครู่ตอนนี้ก็ตกหนักลงมาอีกครั้ง ราวกับต้องการชะล้างบางสิ่งบางอย่าง เพราะเมื่อฝนหยุดตกต้นไม้ใบไม้ก็จะเขียวขจีราวกับเกิดใหม่

โสภิตายืนกอดอกมองชายตรงหน้าที่เวลานี้นอนไม่ได้สติอีกพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจกลับออกไป เท้าเล็กๆ เดินทิ้งน้ำหนักลงบนผืนไม้ที่ใช้ปลูกบ้านจุดหมายคือห้องนอนของตัวเอง เมื่อมาถึงก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ในหัวคิดไปต่างๆ นานาว่าชายที่เธอได้ช่วยเอาไว้วันนี้เป็นใครมาจากไหนและเกิดอะไรขึ้นกับเขาถึงได้เจ็บหนักขนาดนี้ คิดไปคิดมาโสภิตาก็ผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

และเธอก็ตื่นก่อนที่นาฬิกาจะส่งเสียงปลุกอีกตามเคย ทว่าสิ่งแรกที่แตกต่างออกไปจากทุกๆ วันคือหลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วเธอแวะไปดูชายแปลกหน้าคนนั้นก่อน พอเห็นว่าเขายังไม่ได้สติจึงลงไปคุมคนงานตัดผักปลอดสารพิษเพื่อส่งให้พ่อค้าคนกลางในตอนเช้า ผลไม้สดๆ ก็มีคนมารับถึงที่ โสภิตาเน้นใช้ชีวิตแบบพอเพียงอะไรที่มองว่าเกินตัวเธอก็จะไม่เสี่ยงทำเพราะชีวิตในตอนนี้ก็มีความสุขแล้ว

“เมื่อวานพ่อนายบอกว่าคุณหวานพาลูกเขยกลับไร่มาด้วยหรือครับ” ลูกน้องที่พอจะสนิทสนมกับโสภิตาเอ่ยแซวขึ้น ซึ่งคนที่นี่เรียกยอดว่าพ่อนายเป็นคำเรียกที่มาจากความเคารพและให้เกียรติ เพราะหากไม่มียอดหรือโสภิตาพวกเขาก็คงอดตายกันไปแล้ว

“เข่งนั่นหนักไหม”

“หนักครับ” ลูกน้องคนเดิมเอ่ยบอก เพราะมันคือเข่งฝรั่งกิมจูที่รอส่งให้พ่อค้าคนกลางนั่นเอง

“งั้นก็ไปยกขึ้นรถหน่อย ยกคนเดียวด้วยนะห้ามมีคนช่วย โทษฐานถามอะไรไม่เข้าหูแต่เช้า” โสภิตามองลูกน้องอย่างคาดโทษ ทำเอาคนอื่นๆ พลอยสงบปากสงบคำตามไปด้วย เพราะยังไม่อยากราหูเข้าตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้

โสภิตายุ่งอยู่กับการส่งผักผลไม้ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เกือบๆ แปดโมง ซึ่งเป็นเวลาข้าวเช้าของเธอกับพ่อพอดี ด้วยความที่เธอทำกับข้าวไม่เก่งจึงฝากท้องไว้กับแม่บ้าน ที่วันๆ ทำกับข้าวหลายอย่างเพราะเธอตั้งใจทำเผื่อไปถึงบรรดาลูกน้องด้วย แต่พอเดินขึ้นบ้านมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นผู้ชายคนเมื่อวานนั่งอยู่ข้างๆ พ่อของเธอ

“มานู่นแล้ว” ยอดเอ่ยบอกชายตรงหน้าเมื่อเห็นลูกสาวกลับเข้าบ้านมา โสภิตาเดินตรงไปหาทั้งคู่ขณะที่สายตานั้นจับจ้องไปที่ชายคนเมื่อวาน

“ดีขึ้นแล้วเหรอ” โสภิตาเอ่ยถามพร้อมกับไล้สายตามองหน้าเขาไปด้วย รอยฟกช้ำยังคงมีให้เห็น ส่วนแผลตรงหน้าผากคงต้องใช้เวลารักษาอีกสักพักก็น่าจะหายดี

“ครับ” ราเชนเอ่ยรับขึ้น เมื่อเช้าเขาตื่นขึ้นมาในห้อง นอนคิดจับต้นชนปลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งตัดสินใจเดินออกมาก็ได้พบเข้ากับยอด คุยกันไปคุยกันมาถึงรู้ว่ายอดคือเจ้าบ้านและเป็นเจ้าของไร่ ส่วนผู้หญิงที่ช่วยเขาเมื่อวานชื่อโสภิตาเป็นลูกสาวของยอด

“ไปโดนใครทำร้ายมา ทำไมถึงเจ็บหนักขนาดนี้” หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้ง

“ผมมาตามหาญาติครับ พอลงรถทัวร์คนที่ขนส่งแนะนำให้เช่ารถสองแถวพร้อมคนขับจะสะดวกกว่าผมเลยทำตามคำแนะนำนั้น แต่ไม่นึกว่าจะถูกปล้นแถมยังเกือบเอาชีวิตไม่รอดอีก”

“สองแถวเถื่อนแน่ๆ เรื่องนี้พ่อเองก็ได้ข่าวมาอยู่เหมือนกัน ว่าจะชอบโก่งราคาหรือไม่ก็ปล้นคนต่างถิ่นที่มาเหมารถ” นั่นคือสิ่งที่ยอดได้รู้มาก่อนหน้านี้ ยังเคยเตือนคนใกล้ชิดว่าให้ระวังเวลาจะออกไปไหนมาไหน เพราะสังคมสมัยนี้ไม่ได้ถ้อยทีถ้อยอาศัยเหมือนแต่ก่อน โจรในคราบคนดีก็มีให้เห็นถมเถไป

“หน้าตานายก็ไม่ใช่คนซื่อนี่ ทำไมถึงได้เชื่อคนแปลกหน้าง่ายขนาดนั้น”

“หวาน” ยอดเอ่ยปรามลูกสาวเอาไว้

“ค่ะๆ ไม่พูดแล้วก็ได้” โสภิตาเอ่ยรับคำก่อนจะเดินไปนั่งหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ จังหวะที่เธอกำลังหยิบน้ำขึ้นมาดื่มราเชนก็เอ่ยขึ้น

“ถ้าไม่ได้คุณหวานช่วยผมก็คงแย่กว่านี้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวของเขาทำให้โสภิตารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ คงเป็นเสียแบบนี้มั้งถึงถูกหลอกเอา

“ไม่ได้ตั้งใจจะช่วย แต่นายกระโดดมาให้รถฉันชนต่างหาก”

“ก็ตอนนั้นผมนึกวิธีหยุดรถไม่ออกแล้วนี่ครับ เลยใช้แรงเฮือกสุดท้ายขวางรถคุณหวานเอาไว้” สถานการณ์ในตอนนั้นบีบบังคับให้ราเชนต้องยอมเสี่ยง

“แล้วถ้าเกิดฉันขับรถเร็วๆ หรือไม่ก็เป็นโจร นายไม่ตายเปล่าหรือไง”

“เอาๆ เลิกคุยกันได้แล้ว กินข้าวก่อนเถอะ พ่อราเชนเขาจะได้กินหยูกกินยาไปพักผ่อน”

“ราเชน” โสภิตาเอ่ยทวนชื่อที่ได้ยินจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งมั่นใจว่าคือชื่อของผู้ชายตรงหน้า

“ชื่อผมเองครับ” เจ้าของชื่อเอ่ยรับพร้อมส่งยิ้มให้เธอ ส่วนโสภิตานั้นทำเพียงส่งยิ้มมุมปากคืนกลับมาให้เท่านั้น ก่อนที่ทั้งสามจะนั่งกินข้าวด้วยกัน แม้เช้านี้จะมีคนแปลกหน้านั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยแต่บรรยากาศก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิด

หลังกินข้าวเสร็จราเชนก็ถูกบังคับให้กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน ส่วนโสภิตาก็นั่งคุยกับผู้เป็นพ่อซึ่งหัวข้อหลักๆ ก็ยังเป็นเรื่องของชายหนุ่ม กระทั่งถึงเวลากินยาโสภิตาก็จัดแจงจัดยาส่งให้พ่อ

“เฮ้อ...เบื่อจริงๆ การกินยาเนี่ย”

“เบื่อก็ต้องกินค่ะ ถ้าถอดใจตอนนี้ไม่ได้อุ้มหลานนะคะ” นั่นคือประโยคที่โสภิตามักจะพูดกับพ่อเสมอๆ เหมือนน้ำผึ้งชโลมใจคนแก่ที่อยากให้เธอมีครอบครัว ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอนั้นโสดสนิท

“หลอกคนแก่มันบาปรู้ไหม”

“รู้ว่าหลอกแต่เต็มใจให้หลอก ไม่ถือว่าบาปค่ะ”

“เป็นงั้นไป”

“พ่อจะให้ราเชนเขาอยู่ที่นี่กี่วันคะ”

“ถามพ่อได้ที่ไหน ต้องถามหวานมากกว่า เพราะหวานคือคนที่ช่วยพ่อเชนเขาไว้ อยากให้เขาอยู่กี่วันหรืออยากไล่ไปให้พ้นๆ ก็แล้วแต่หวานจะตัดสินใจ”

“งั้นอยู่อีกสักสองสามวันคงไม่เป็นไร”

“แต่เท่าที่คุยกันเหมือนพ่อเชนจะตกงานมาจากกรุงเทพฯ แล้วหวังกลับมาพึ่งญาติที่นี่” นั่นคือสิ่งที่ยอดได้รู้จากราเชน แต่คำพูดของพ่อทำให้คิ้วสวยของโสภิตาขมวดเข้าหากัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel