บทที่ 2
“อ้อ...พ่อคะ ปิ่นกำลังจะแต่งงานกับบอสแล้วนะ อีกไม่กี่เดือนก็คงจัดงาน” เมื่อพูดถึงข่าวดีเรื่องนี้ ใบหน้าของโสภิตานั้นเต็มไปด้วยความสุข
ยอดเองก็ยินดีกับข่าวนี้ของรติชา เพราะตนนั้นรักและเอ็นดูเพื่อนสนิทของลูกสาวคนนี้เหมือนลูกคนหนึ่งเช่นกัน รติชานั้นน่ารักและเป็นคนดีมากคนหนึ่ง การได้แต่งงานใช้ชีวิตกับคนที่รักย่อมเป็นเรื่องที่ดี
“หวานก็ควรหาใครสักคนได้แล้วนะลูก” น้ำเสียงของยอดแฝงความห่วงใยเอาไว้ นั่นเพราะก่อนตายเขาอยากเห็นโสภิตาเป็นฝั่งเป็นฝากับคนดีๆ สักคน ไม่ต้องเป็นคนรวยล้นฟ้าขอแค่รักโสภิตาจากใจจริงก็พอ ซึ่งตอนนี้ตนก็พอจะมีอยู่ในใจแล้วบ้าง รอแค่โสภิตาเปิดใจเท่านั้น
“หาที่ไหนละคะพ่อ”
“ถ้าลูกจะหา เดินไปหน้าไร่ก็เจอ”
“หน้าไร่ บ้านลุงกำนันนะเหรอคะ” โสภิตาถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะพ่อเธอเหมือนถูกเอกชัยป้ายยามาไม่ผิด พักหลังๆ เห็นเชียร์เหลือเกิน
“ใช่...พ่อเอกก็ชอบลูก ชอบมานานแล้วด้วยมั้ง ไม่ตรงใจลูกหรือไง”
“ไม่ค่ะ คนไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าถ้าเย็นนี้หวานเจอเนื้อคู่ จะหิ้วปีกมาให้พ่อดูหน้า” คำพูดห่ามๆ ของโสภิตา
ทำเอาคนฟังต้องส่ายหน้าให้
“จะไปตีหัวลูกชายบ้านไหนมาเป็นลูกเขยพ่อ”
“ไม่บอกค่ะ เดี๋ยวพ่อไม่เซอร์ไพรส์” โสภิตายิ้มหวานส่งให้พ่อ ส่วนยอดนั้นไม่ถือสาเพราะรู้ว่าลูกสาวแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง
เย็นวันนั้นโสภิตาขับรถออกไปส่งผักและอะโวคาโดที่ร้านอาหารในตัวเมือง อันที่จริงเธอให้ลูกน้องขับไปส่งก็ได้ แต่เพราะใส่ใจจึงเลือกที่จะทำเองและมองว่าข้อดีของการได้ไปส่งเองแบบนี้มีหลายอย่าง ได้คุยกับลูกค้าโดยตรงซึ่งหากมีปัญหาก็สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็ว
กระทั่งใกล้ค่ำโสภิตาจึงขับรถกลับไร่ แต่จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักจนมองอะไรแทบไม่เห็น เธอจึงต้องลดความเร็วรถลงมาจากนั่งซิ่งประจำตำบลก็ค่อยๆ ขับแบบคืบคลานเป็นเต่า เพราะฝนผิดฤดูแบบนี้มักจะมาพร้อมกับฟ้าร้องฟ้าผ่าและลมกระโชกแรงกว่าปกติ บางจังหวะที่ฟ้าผ่าดังเปรี้ยงโสภิตาก็สะดุ้งด้วยความตกใจเช่นกัน
“โอ้ย จะตกก็ตก อย่ามาพร้อมฟ้าผ่าได้ไหม” โสภิตาบ่นแม้กระทั่งฟ้าฝน แม้เธอจะชอบฝนแต่สิ่งที่ไม่ชอบคือเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ
แต่ถึงอย่างนั้นโสภิตาก็ยังฝืนขับฝ่าลมฝนรถมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงทางเลี้ยวเข้าไร่ จู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากริมถนน โสภิตาเหยียบเบรกจนตัวโก่ง เธอมั่นใจว่าตัวเองชนแน่นอนเพราะรับรู้ได้ถึงแรงกระแทก หรือจะเป็นวัวของคนแถวนี้ที่หลุดมาจากคอกเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า
เพราะที่ทางแถวนี้เธอคุ้นเคยบวกกับฝนที่เริ่มซาลงไปมากแล้วโสภิตาจึงกล้าที่จะเปิดประตูรถลงไปดู เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปังเม็ดฝนตรงหน้าผาก แต่พอเดินพ้นรถมาได้ก็ต้องตกใจสุดขีนเมื่อเจอผู้ชายคนหนึ่งนอนสลบอยู่
“นาย นาย...ยังไม่ตายใช่ไหม”
“ยังครับ” ชายตรงหน้ากัดฟันข่มความเจ็บเอ่ยบอกไป แต่พอจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่เข้ามาช่วยเหลือตาทั้งสองข้างก็พร่าเลือนเพราะหยาดฝนจนมองเธอไม่ชัด
“โอเค ฉันยังไม่ได้เป็นฆาตกร แล้วนี่ถ้าอยากตายก็กระโดดหน้าผาตายสิจะกระโดดมาขวางรถฉันทำไม” แม้จะตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่โสภิตาก็ยังเป็นโสภิตาที่บางครั้งก็คาดเดาความคิดไม่ได้
ชายตรงหน้าทั้งตกใจทั้งนึกขำกับคำพูดที่ได้ยิน นี่เขาหนีเสือปะจระเข้หรือเปล่านะ ทำไมฟ้าถึงส่งผู้หญิงคนนี้มาช่วยเขาหรือท่านอยากให้เขาตายจริงๆ แต่เขาก็ไม่มีแรงมากพอที่จะค้าน
“นี่นาย” โสภิตาพยายามตะโกนเรียกชายตรงหน้าให้ได้สติแต่เวลานี้เขากลับหมดสติไปเสียแล้ว
ภาพของโสภิตาที่กำลังหิ้วปีกผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน ทำให้ยอดตกใจจนต้องตะโกนเรียกให้ลูกน้องเข้ามาช่วยอีกแรง ชายคนนั้นมีแผลที่หน้าผากแต่ไม่ลึกถึงขนาดต้องเย็บอะไร หนำซ้ำบนใบหน้าและตามเนื้อตามตัวก็บอบช้ำบ่งบอกว่าคงถูกซ้อมมาอย่างหนักเป็นแน่
โสภิตาที่เวลานี้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วออกมายืนกอดอกมองผู้ชายที่เธอพึ่งช่วยชีวิตเขาไว้ ถ้าเป็นเวลาปกติไม่มีฝนแล้วเธอทำความเร็วรถอย่างที่เคยขับจริงๆ รับประกันได้ว่าเธอคงเบรกไม่ทันและเพราะเบรกไม่ทันเขาก็น่าจะเจ็บหนักเผลอๆ อาจถึงขั้นไม่รอดชีวิตเช่นกัน
“ไปเจอผู้ชายคนนี้ได้ยังไงหวาน” ยอดเพ่งสายตามองชายที่ลูกสาวได้ช่วยชีวิตเอาไว้
“ระหว่างทางกลับบ้านค่ะพ่อ จู่ๆ เขาก็กระโดดออกมาจากข้างทาง ดีที่หวานเบรกทันไม่งั้นเราได้จัดงานศพแน่”
“เป็นใครมาจากไหนกัน”
“เอกสารบนตัวไม่มีสักอย่าง ถ้าบอกถูกปล้นคงไม่ใช่เพราะแถวนี้ไม่เคยมีโจร” โสภิตาสันนิษฐาน เพราะตอนที่ลูกน้องเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ก็หากระเป๋าหรือเอกสารยืนยันตัวตนของชายตรงหน้าไม่ได้
“ไม่เคยมีแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี สมัยก่อนที่นี่ก็ซ่องโจรดีๆ นี่เอง” ยอดเอ่ยบอกเพราะเมื่อก่อนแถวๆ นี้โจรก็ดุยิ่งกว่ายุง ไปไหนมาไหนต้องระแวดระวังและพกปืนไปป้องกันตัวเองด้วย
“พ่อคิดว่าเขาถูกปล้นหรือคะ”
“ก็เป็นไปได้ ยังไงรอให้เขารู้สึกตัวก่อนค่อยถามไถ่”
“ค่ะ...ดึกแล้วพ่อไปพักเถอะ เดี๋ยวทางนี้หวานจัดการต่อเอง” โสภิตาเอ่ยบอกผู้เป็นพ่อ เพราะเลยเวลาพักผ่อนมานานแล้วนั่นเอง
“ฝากด้วยนะลูก อย่าปล่อยให้ลูกเขยพ่อเป็นอะไรไปเชียว”
“ลูกเขย” คนฟังหันขวับไปมองคนพูดทันที ยอดยิ้มกริ่มแล้วเอ่ยต่อ
“อ้าว! ก็หวานบอกพ่อเองว่าวันนี้จะหิ้วปีกลูกเขยมาให้พ่อดูหน้า”
“หวานแค่พูดเล่น” โสภิตาแย้งขึ้นทันที ใครจะไปคิดว่าวันนี้เธอจะหิ้วปีกผู้ชายมาให้พ่อเห็นตามที่ปากพูดไว้จริงๆ แต่นี่มันสถานการณ์บังคับเธอไม่ได้ต็มใจเสียหน่อย ฉนั้นแล้วถือว่าเป็นโมฆะ
“แต่พ่อคิดจริง”
“คิดจริงไม่ได้ เขาเป็นใครเราก็ยังไม่รู้จัก จู่ๆ พ่อจะให้เขามาเป็นลูกเขยได้ยังไง”
“ไม่รู้ล่ะ พ่อถือว่าคนนี้เป็นลูกเขยไปแล้ว” เพราะอยากแกล้งลูกสาวคนเดียว ยอดจึงแกล้งทำสีหน้าขึงขังแล้วเดินออกไป
