บท
ตั้งค่า

บทที่ 8

“หากเอ่ยถึงแม่ทัพเฉินผู้นี้ละก็......เขาคือยอดคนที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว...”

ผู้ใหญ่บ้านลูบเคราสีดอกเลา พลางเอ่ยเล่าเรื่องราวออกมาอย่างช้า ๆ

ชาวบ้านต่างพากันล้อมรอบเข้ามา แม้แต่หญิงชาวบ้านที่กำลังเย็บพื้นรองเท้าอยู่ ก็ยังวางมือจากงานตรงหน้า

ห้าปีก่อน

ชนเผ่าจูร์เชนจากทางตะวันออกเฉียงเหนือยกทัพใหญ่บุกลงใต้ กองทัพราชสำนักพ่ายแพ้ถอยร่นไม่เป็นท่า

โอรสสวรรค์มีราชโองการด่วนเรียกตัวอ๋องหัวเมืองต่าง ๆ เข้ามาช่วยราชการ

แต่ใครจะคาดคิดว่าทันทีที่คำสั่งเคลื่อนพลถูกประกาศออกไป บรรดาอ๋องครองแคว้นต่างฉวยโอกาสขยายอำนาจของตน กลับกลายเป็นทำให้แนวป้องกันชายแดนว่างเปล่า

สามเผ่ารบใหญ่แห่งหลางหรงทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้แก่ เฮยหลาง, ชางหลาง และ เซวี่ยหลาง จึงฉวยโอกาสทองที่หาได้ยากยิ่งนี้ รวบรวมทหารม้าเกราะเหล็กห้าหมื่นนายบุกทะลวงลงใต้

แนวป้องกันชายแดนเหนือสั่นคลอนจวนเจียนจะพังทลาย มีเพียงอ๋องเจิ้นเป่ยที่นำสิบหกกององครักษ์ใต้บัญชาเร่งรุดเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาช่วยสกัดข้าศึก

ในศึกครั้งนั้น เฉินหย่วนซานผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซีหลง นำทหารม้าห้าพันนายปักหลักสู้ตายที่ช่องเขาต้วนหลง ใช้แผนเพลิงพิโรธเผาผลาญทัพหลักของหลางหรงจนแตกพ่าย

นับแต่นั้นมา สมญานาม “เฉินแส้เหล็ก” ก็เลื่องลือไปทั่วชายแดนเหนือ ไม่มีใครไม่รู้จัก

หลายปีต่อจากนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับเข่นฆ่ากันที่กุ่ยคูหยวน

อ๋องเจิ้นเป่ยถือโอกาสขยายเขตแดนปกครองครอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งของแดนเหนือ โดยมีสิบหกกององครักษ์คอยคุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญตามชายแดนไว้อย่างแน่นหนา

เมื่อหลางหรงเห็นว่าการบุกโจมตีซึ่งหน้าไม่เป็นผล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีกระจายกำลังดักปล้นเส้นทางลำเลียงเสบียงและลอบโจมตีหมู่บ้าน

และก็เป็นแม่ทัพเฉินผู้นี้นี่เองที่เสนอแผน “ทำนาสร้างป้อม” แก่อ๋องเจิ้นเป่ย

จนบัดนี้ มีป้อมปราการตั้งตระหง่านตามแนวชายแดนกว่าสามสิบแห่ง

ปราสาทเถี่ยหลิน ก็คือป้อมที่เล็กที่สุดในบรรดาป้อมเหล่านั้น……

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของผู้ใหญ่บ้าน หลินชวนก็ลอบยินดีในใจ

ดูท่าวันนี้เขาจะได้พบกับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เข้าให้แล้ว

การที่แม่ทัพใหญ่แซ่เฉินผู้นั้นมอบป้ายคำสั่งให้ด้วยตัวเอง นับเป็นเรื่องยากยิ่งนัก

หากคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ไม่เพียงแต่ตระกูลจางจะไม่กล้าวู่วามทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขายังจะได้แสดงความสามารถตามปณิธานที่ตั้งไว้อีกด้วย

......

เมื่อแสงสุดท้ายของวันลาลับ หลินชวนก้าวเดินไปตามถนนปูหินแผ่นเขียวเพื่อกลับบ้าน

ขณะเดินผ่านกำแพงเตี้ย ๆ ของบ้านหยุนเหนียง ฝีเท้าของเขาก็ชะงักลง

มองลอดช่องว่างของรั้วเข้าไป เห็นแสงไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากห้องครัว แว่วเสียงสะอึกสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้อย่างแผ่วเบา

เขายกมือขึ้นเคาะประตูไม้ บานพับส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

หลิ่วซื่อเป็นคนมาเปิดประตู ดวงตาของนางบวมแดง พอเห็นว่าเป็นหลินชวน นางก็รีบใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตาพัลวัน : “พ่อหนุ่มชวน......”

น้ำเสียงของนางแหบพร่าจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ “ตระกูลหลิ่วของพวกเรา......ผิดต่อเจ้าเหลือเกิน......”

“ท่านน้าอย่าพูดแบบนั้นเลยขอรับ”

หลินชวนเอ่ยเสียงเบา “พรุ่งนี้ข้าจะไปสมัครเป็นทหารที่ปราสาทเถี่ยหลิน วันนี้มีท่านแม่ทัพคนหนึ่งแต่งตั้งให้ข้าเป็นนายกองธงเล็กแล้ว”

“นาย......นายกองธงเล็กหรือ?”

หลิ่วซื่อทวนคำอย่างงุนงง ริมฝีปากที่แห้งแตกสั่นระริก

ชั่วชีวิตนี้นางเคยเห็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดก็คือผู้ใหญ่บ้าน นึกภาพไม่ออกเลยว่าตำแหน่งแปลกหูนี้หมายถึงอะไร

“ก็คือผู้ที่คุมทหารได้สิบกว่าคนขอรับ”

หลินชวนอธิบาย “รอให้หนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการลงมาเมื่อไหร่ แม้แต่ศาลาว่าการก็ยังต้องไว้หน้าสักสามส่วน ตระกูลจางไม่กล้ามาหาเรื่องแน่ขอรับ”

“จะ... จริงหรือ?” หลิ่วซื่อถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“อืม จริงขอรับ”

เขาเพิ่งจะพยักหน้า หลิ่วซื่อก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ

“เลือด! ทำไมตัวเจ้ามีแต่เลือดเต็มไปหมด!”

ผ้าม่านห้องด้านในถูกเลิกขึ้นอย่างแรง

หยุนเหนียงพุ่งตัวออกมา รองเท้าก็ยังใส่ไม่เรียบร้อย มวยผมหลุดลุ่ยตกลงมาประบ่า

พอได้เห็นคราบเลือดสีแดงคล้ำบนอกเสื้อของหลินชวนชัด ๆ ใบหน้าของนางก็ซีดเผือดในพริบตา

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

น้ำตาพรั่งพรูออกมาพร้อมกับคำถาม

หลินชวนถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ

หญิงสาวเมื่อตอนเช้า บัดนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง

นางผอมบางเหลือเกิน เสื้อสีกลีบบัวตัวนั้นแขวนอยู่บนร่างอย่างหลวมโครก แต่กลับขับเน้นลำคอระหงให้ดูขาวผ่องดุจหิมะแรก

ตอนนี้เอวบางร่างน้อยกำลังสั่นเทาเบา ๆ ตามแรงสะอื้นไห้

ทั้งสองคนต่างก็หวนนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมา

นิ้วมือที่สอดประสานกันบนฟูกนอน ลมหายใจที่ร้อนผ่าว และเสียงครางเครือที่ถูกกดกลั้น

ปลายหูของหยุนเหนียงพลันแดงก่ำดุจหยดเลือดในทันที

หลินชวนเองก็รู้สึกคอแห้งผาก รีบเบือนหน้าหนีอย่างขัดเขิน

“ข้าไม่เป็นไร” หลินชวนส่ายหน้า “วันนี้สังหารชาวตาดไปหกคน นี่เป็น......เลือดของพวกมัน”

“หา? ฆ่าชาวตาดหรือ?” หลิ่วซื่ออุทานเสียงหลง

“แล้วท่านบาดเจ็บหรือไม่?” หยุนเหนียงห่วงแต่ชายคนรักตรงหน้า

“เปล่า” หลินชวนส่ายหน้าปฏิเสธ

“แล้วนี่คืออะไร?” หยุนเหนียงคว้ามือเขาหมับ

บาดแผลแตกที่ง่ามนิ้วโป้ง คราบเลือดแห้งกรังไปแล้ว

“ยังจะบอกว่าไม่เจ็บอีกหรือ?” น้ำตาเม็ดโต ร่วงเผาะลงมา

นางหันกายวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ครู่ต่อมาก็ถือโถดินเผาหยาบๆ ใบเล็กออกมาใบหนึ่ง

ภายในบรรจุยาขี้ผึ้งสีเขียวอ่อน ส่งกลิ่นหอมสมุนไพรจางๆ

“นี่เป็นหญ้าจื่อจูที่ท่านพ่อเก็บไว้ก่อนตาย......”

เสียงของนางเบาหวิวราวเสียงยุง ปลายนิ้วแตะยาขี้ผึ้ง บรรจงทาลงบนบาดแผลของหลินชวนอย่างระมัดระวัง

ตัวยาเย็นสดชื่น แต่กลับทำให้หลินชวนรู้สึกร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลวกตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส

หลิ่วซื่อยืนมองทั้งคู่จากด้านข้าง จู่ ๆ ก็หันหลังไปปาดน้ำตาที่หางตา

“ข้าจะไปต้มน้ำแกงแผ่นแป้งให้พวกเจ้ากิน”

นางรีบเดินจ้ำไปที่ห้องครัว จงใจทำเสียงกระแทกหม้อเหล็กดังโครมคราม

ในลานบ้านเหลือเพียงเขาทั้งสอง

แสงจันทร์ลอดผ่านกิ่งก้านต้นกุ้ยฮวา ทอดเงากระดำกระด่างลงบนใบหน้าของหยุนเหนียง

หลินชวนสังเกตเห็นหยดน้ำตาที่ยังเกาะพราวอยู่บนขนตาของนาง สั่นไหวเบาๆ ตามจังหวะการหายใจ

“เจ็บไหม?” หยุนเหนียงเอ่ยถามเสียงเบา

“ไม่เจ็บ” หลินชวนส่ายหน้า

จู่ ๆ เขาก็ล้วงเศษเงินออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนฝ่ามือของหยุนเหนียง

“ข้าค้นมาจากตัวพวกชาวตาด เจ้าเอาไปตัดชุดใหม่เสียนะ”

ยามนี้เขาได้แต่เจ็บใจที่ตนเองมีเงินติดตัวน้อยเกินไป “รอพรุ่งนี้ข้าได้รับเงินรางวัลแล้ว จะสั่งทำปิ่นเงินให้เจ้าสักอัน”

มือของหยุนเหนียงกระตุกวูบ เศษเงินเกือบร่วงหล่น

“ข้าไม่เอาชุดใหม่! แล้วก็ไม่เอาปิ่นเงินอะไรทั้งนั้น!”

นางรีบคว้าแขนเสื้อของหลินชวนไว้แน่น น้ำเสียงสั่นเครือทุกถ้อยคำ “ข้าขอแค่ให้ท่าน......กลับมาอย่างปลอดภัย......”

หลินชวนค่อย ๆ รวบนิ้วมือของนางให้กำเศษเงินเหล่านั้นไว้

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่”

น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นดุจดาบที่ผ่านการชุบไฟ

“เรื่องของคหบดีจาง ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”

หยุนเหนียงเงยหน้าขึ้นฉับพลัน ขนตายังเปื้อนคราบน้ำตา

แสงจันทร์ลอดผ่านกิ่งใบ ทาบทับลงบนใบหน้า

และส่องให้เห็นประกายไฟจุดเล็กๆ ที่ลุกโชนขึ้นในดวงตาของนาง

ริมฝีปากของนางสั่นระริก คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง

แต่สุดท้ายก็ทำเพียงพยักหน้าแรง ๆ

......

เมื่อกลับถึงบ้าน

พอหลินซื่อผู้เป็นมารดารู้ข่าวว่าหลินชวนฆ่าชาวตาด ก็อดหลั่งน้ำตาออกมาอีกยกหนึ่งไม่ได้

หลังจากปลอบโยนมารดาจนสงบลง หลินชวนก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเตาทั้งที่ยังสวมชุดตัวเดิม

แสงจันทร์นอกหน้าต่างสาดส่องราวสายน้ำ แต่เขากลับพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ

พอหลับตาลง ภาพของหยุนเหนียงก็ผุดขึ้นมา

หวนนึกถึงความซาบซ่านรัญจวนใจและความนุ่มนวลในอ้อมกอดเมื่อคืนก่อน

ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ข่มตาหลับไม่ลงเสียแล้ว

ฟ้าเพิ่งสาง เขาก็ลุกขึ้นจัดการธุระส่วนตัวแล้วออกจากบ้าน

ที่ใต้ต้นต้นหางนกยูงเก่าแก่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน จางเสี่ยวเนียนและหวังเถี่ยจู้มารออยู่นานแล้ว

ทั้งสองจัดการข้าวของที่ยึดมาได้จนเรียบร้อย

เกราะหนัง ดาบโค้ง และหัวคนร้ายที่หมักปูนขาวไว้ ถูกจัดวางเรียงรายบนรถลากอย่างเป็นระเบียบ

ม้าศึกพวกนั้นต่างมีบาดแผลไม่มากก็น้อย

หลินชวนจึงฝากไว้ที่หมู่บ้านก่อน โดยให้ผู้ใหญ่บ้านจัดคนคอยดูแลเป็นพิเศษ

“เฮียหลิน ทุกอย่างพร้อมแล้ว!” จางเสี่ยวเนียนตบลงบนรถลาก

หลินชวนพยักหน้า

เขาทอดสายตามองควันไฟจากการหุงหาอาหารที่ลอยขึ้นกลางหมู่บ้าน โดยเฉพาะบริเวณกำแพงเตี้ย ๆ ของบ้านหยุนเหนียง

“ไปกันเถอะ”

ทั้งสามเดินทางฝ่าน้ำค้างยามเช้า

แกนล้อไม้ของรถลากส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทาง

ปราสาทเถี่ยหลินตั้งอยู่บนเขาหลังหมู่บ้าน ห่างจากบ้านไม่เกินสิบลี้

ยามหมอกจางลง เค้าโครงของปราสาทเถี่ยหลินก็ปรากฏชัดตรงหน้าของหลินชวน

ทำเลที่ตั้งของป้อมค่ายแห่งนี้ช่างยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ :

ตั้งตระหง่านอยู่ตรงช่องเขาที่ขนาบด้วยภูเขาสองลูก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือมองเห็นทุ่งกุ่ยคูหยวนที่พวกหลางหรงมักโผล่มา ทิศใต้สอดส่องควันไฟของสามหมู่บ้าน

หากมีข้าศึกบุก เพียงจุดควันสัญญาณ ก็มองเห็นได้ไกลหลายสิบลี้

ทว่าเมื่อมองใกล้ ๆ ป้อมค่ายแห่งนี้กลับทรุดโทรมยิ่งนัก

กำแพงป้อมก่อด้วยหินภูเขาผสมดินเหลือง หลายจุดพังทลายลง ใช้เพียงรั้วไม้ซ่อมแซมไว้อย่างลวก ๆ

หอสังเกตการณ์ทั้งสี่มุมดูเป็นระเบียบดี แต่คูน้ำใต้หอกลับมีน้ำเน่าขัง

หลินชวนหรี่ตามองพินิจ พบว่านอกกำแพงด้านทิศตะวันตกมีการตอกเสาไม้ชุดใหม่ คล้ายกำลังจะต่อเติม

แต่ไม้พวกนั้นขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เปลือกไม้ก็ยังลอกไม่เกลี้ยง

ขวากไม้หน้าประตูถูกปักไว้อย่างระเกะระกะ ปลายหอกก็ขึ้นสนิมเขรอะ

ทั้งสามลากรถมาถึงหน้าประตูปราสาทเถี่ยหลิน

ทหารยามคนหนึ่งกำลังพิงซุ้มประตูงีบหลับ

พอได้ยินเสียงรถลาก ทหารหนุ่มผู้นั้นก็ขยี้ตา ตวาดถามอย่างเกียจคร้าน :

“หยุด! มาทำอะไร?”

หลินชวนประสานมือคารวะ : “มาสมัครเป็นทหารขอรับ”

“สมัครทหาร? แล้วขนอะไรมาน่ะ?”

“เมื่อวานสังหารชาวตาดได้หลายคน นี่เป็นของที่ยึดมาได้......”

“หา?”

ทหารยามเหลือบมองของบนรถ พลันเบิกตากว้าง

รีบหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในป้อม

“หัวหน้าจาง! รีบมาดูเร็วเข้า!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel