บทที่ 5
หลินชวนหันหลังกลับมาช้า ๆ ดวงตาคมกริบราวคมดาบ
เขามองใบหน้าแก่ชราที่หวาดกลัวของผู้ใหญ่บ้าน
ก้าวเดินไปข้างหน้า
“หายนะรึ?” เขาหัวเราะเยาะ พลันยกเท้าเหยียบศพทหารสอดแนมหลางหรงคนหนึ่ง “นี่ต่างหากคือหายนะ!”
ออกแรงที่เท้า ศพนั้นก็พลิกกลับ เผยให้เห็นใบหน้าที่ดุร้าย
ชาวบ้านที่มุงดูต่างพร้อมใจกันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ยังไม่เคยมีใครเคยเห็นชาวตาดที่ตายแล้วมาก่อน
“ชาวตาดฆ่าคนไม่เป็นหายนะ แต่ข้าฆ่าชาวตาดกลับกลายเป็นหายนะงั้นหรือ?”
หลินชวนออกแรงตวัดดาบยาวในมือ เลือดสองสามหยดกระเด็นไปโดนใบหน้าของผู้ใหญ่บ้าน
“นี่มันตรรกะอะไรกัน?” เขาตวาดเสียงดัง
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านซีดเผือดในทันที ปากสั่นจนพูดไม่ออก
หลินชวนยืดตัวตรง กวาดสายตามองไปรอบ ๆ : “ตอนนี้ยังมีใครคิดว่าข้าเป็นคนนำหายนะมาอีกไหม?”
ฝูงชนเกิดความโกลาหลเล็กน้อย
นี่คือบัณฑิตอ่อนแอแห่งตระกูลหลินคนนั้นจริง ๆ หรือ......
ชาวบ้านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แววตาที่หวาดกลัวแต่เดิมค่อย ๆ กลายเป็นความซับซ้อน
“พี่ซิ่วไฉพูดถูก!”
หวังเถี่ยจู้พลันเตะศพที่พื้น “ทำไมพวกมันถึงฆ่าเราได้ แต่เรากลับต่อต้านไม่ได้?”
“ถะ ถะ ถูกต้อง!” จางเสี่ยวเนียนตะโกนตาม “มี มีสิทธิ์ มีสิทธิ์......”
“พอแล้ว รู้ว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร!” หวังเถี่ยจู้ดึงเขาไว้
“ไอ้หนูตระกูลหลินช่วยหมู่บ้านของพวกเราไว้นะ!” ชายชราคนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“พวกเจ้าดูสิ ไอ้พวกสัตว์นรกนี่ถึงกับนำฟันของเด็กมาทำเป็นสร้อยคอ!”
ผู้หญิงคนหนึ่งชี้ไปที่สร้อยคอของศพ แล้วร้องไห้ออกมาทันที
ฝูงชนแตกตื่นขึ้นมา
ผู้ใหญ่บ้านทรุดตัวนั่งอยู่กับพื้น ลืมแม้กระทั่งเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า
เขามองชาวบ้านที่โกรธแค้น มองศพที่ดุร้ายบนพื้น สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่หลินชวน
เขาไม่ได้เก็บตัวอ่านหนังสือทั้งวันหรอกหรือ?
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาได้?
“ข้า......ข้า......” ปากของผู้ใหญ่บ้านสั่น “ข้าแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว!”
หลินชวนเก็บดาบยาว โน้มตัวลงช่วยผู้ใหญ่บ้านให้ลุกขึ้น : “ท่านลุง เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการป้องกันการแก้แค้นจากชาวหลางหรง”
“ใช่ ๆ ๆ!” ผู้ใหญ่บ้านคว้าแขนหลินชวนไว้ราวกับจับฟางเส้นสุดท้าย “ป้องกันการแก้แค้น! จะ จะป้องกันอย่างไรล่ะ?”
หลินชวนยังไม่ทันได้พูด จางเสี่ยวเนียนก็ชี้ไปที่ไกล ๆ แล้วตะโกน: “มะ มะ มะ มะ ม้า......”
หลินชวนหันไปมอง เห็นม้าศึกไร้เจ้าของหกตัวกำลังวนเวียนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน
เขาตาเป็นประกาย
แม้ว่าม้าเหล่านี้จะมีบาดแผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลภายนอก
ทายานิดหน่อย เลี้ยงดูอย่างดีไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้ว
“จูงม้าทั้งหมดมานี่”
เขาเดินเข้าไปหาม้าสีดำตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว ม้าตัวนี้เห็นเจ้านายถูกฆ่า กำลังใช้กีบเท้าขุดพื้นดินอย่างกระสับกระส่าย
หลินชวนยื่นมือลูบคอมา ปลอบประโลมมัน
นี่คือม้าทุ่งหญ้าชั้นดีเลยนะ!
“เสี่ยวเนียน!” เขาพูดพลางตรวจดูเครื่องบังเหียน “เจ้าพาคนตัดศีรษะออกมาทั้งหมด แล้วแช่ด้วยปูนขาว ส่วนศพเอาไปฝังในป่าทางเหนือ ต้องฝังให้ลึกนะ!”
“หา? ตัด ตัด ตัดศีรษะ?” จางเสี่ยวเนียนทำหน้าเศร้า
“ตัดศีรษะแล้วถึงจะไปรับเงินรางวัลได้” หลินชวนกล่าว “เป็นอะไรไป ไม่กล้าหรือ?”
“ข้า ข้า ข้ากล้า!” จางเสี่ยวเนียนกัดฟันแน่น พยักหน้ารับคำ
หลินชวนจัดแจงต่อ : “เถี่ยจู้ เจ้าพาคนไปเก็บเกราะหนังและอาวุธของพวกมันให้ดี”
“ได้!” หวังเถี่ยจู้ตอบรับอย่างคล่องแคล่ว
หลินชวนแจกแจงเสร็จ ก็นั่งลงบนโม่หินใต้ต้นหางนกยูง
การต่อสู้ครั้งนี้คงได้ของดีมีประโยชน์มาไม่น้อย ทั้งม้าศึก ธนู และเกราะหนังอย่างละหกชุด
ดาบโค้งก็มีหกเล่มเช่นกัน เพียงแต่หนึ่งในนั้นถูกหลินชวนฟันขาด จึงเหลือเพียงห้าเล่มที่ใช้ได้
“พี่ซิ่วไฉ!” หวังเถี่ยจู้วิ่งเข้ามา “ท่านดูนี่สิ!”
ในมือของเขาคือมีดสั้นเล่มหนึ่ง
หลินชวนรับมีดสั้นมา ปลายนิ้วลูบผ่านลวดลายละเอียดบนคมมีดเบา ๆ
มีดสั้นทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท คมมีดเปล่งประกายเย็นสีน้ำเงินเข้ม
ด้ามมีดพันด้วยหนังสีแดงเข้ม ปลายด้ามฝังเขี้ยวหมาป่าไว้หนึ่งซี่
“ของดี”
เขาพลิกข้อมือ มีดสั้นหมุนเป็นลวดลายที่สวยงามในฝ่ามือ “เอามาจากร่างของใคร?”
หวังเถี่ยจู้ชี้ไปยังศพที่อยู่ห่างไปไม่ไกล : “จากร่างของหัวหน้าคนนั้นขอรับ แล้วก็มีนี่ด้วย”
เขาได้ยื่นถุงหนังวัวใบเล็กให้หลินชวนอีกใบ
หลินชวนรับถุงหนังมา ข้างในมีเสียงดังกระทบกัน
เขายื่นมือเข้าไป เทเศษเงินจำนวนหนึ่งและป้ายทองแดงหนึ่งอันออกมาจากถุง
เมื่อเห็นป้ายทองแดง รูม่านตาของหลินชวนก็หดตัวลงเล็กน้อย
ป้ายสลักรูปหัวหมาป่าหอนแหงนหน้ามองฟ้า ด้านหลังสลักสัญลักษณ์ด้วยตัวอักษรหลางหรงหลายตัว
“พี่ซิ่วไฉ นี่......นี่มันคืออะไร?” หวังเถี่ยจู้จ้องมองป้ายด้วยความสงสัย
“ไม่รู้” หลินชวนส่ายหน้า
ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันต้องเป็นสัญลักษณ์ของฐานะบางอย่างแน่นอน ไว้เอาไปให้หัวหน้าหมู่หูก็จะรู้แล้ว
เขาสอดป้ายกับมีดสั้นไว้ในอก กะน้ำหนักเงินในมือ
ประมาณยี่สิบตำลึง
นี่ถือเป็นเงินก้อนโตเลย
เป็นที่รู้กันดีว่า เบี้ยหวัดของทหารชายแดนนับว่าสูงมากแล้ว แต่ก็ได้แค่เดือนละสองตำลึงสี่เฉียนเท่านั้น
“เถี่ยจู้ ไปยืมกรรไกรที่โรงตีเหล็กแล้วเรียกทุกคนมาที่นี่ก่อน”
หวังเถี่ยจู้รับคำแล้วหันหลังเดินไป
ไม่นานนัก คนสิบเอ็ดคนก็ถูกเรียกมารวมกัน
“นี่ขอรับ พี่ซิ่วไฉ!” หวังเถี่ยจู้ยื่นกรรไกรให้
หลินชวนรับกรรไกรมา ชั่งน้ำหนักในมือ
เขาเทเศษเงินยี่สิบตำลึงลงบนโม่หิน
“ดูให้ดีนะ”
เขาหยิบเงินชิ้นที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมา ออกแรงบิดกรรไกรในมือ
เสียงดัง “แครก” เงินก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน
ชาวบ้านที่มุงดูต่างกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ปกติพวกเขาใช้แต่เงินทองแดง แม้แต่เศษเงินที่เป็นก้อนยังหายาก ไม่ต้องพูดถึงฉากแบ่งเงินกันต่อหน้าแบบนี้เลย
“จางเสี่ยวเนียน!”
หลินชวนหยิบเศษเงินชิ้นที่น้ำหนักประมาณหนึ่งตำลึงครึ่ง : “เจ้าเป็นคนแรกที่นำคนพุ่งออกมาขวางชาวตาด ควรจะได้มากกว่าคนอื่นหน่อย”
จางเสี่ยวเนียนตกตะลึง
ปกติเขาถูกชาวบ้านเรียกว่า “เสี่ยวเนียน เสี่ยวเนียน” ฉายานี้กลายเป็นชื่อของเขาไปแล้ว
เขาไม่เคยถูกยกย่องต่อหน้าผู้คนเช่นนี้มาก่อน
เขาปาดน้ำตา รับเงินมา พูดตะกุกตะกักหนักกว่าเก่า : “ข้า ข้า ข้า......”
เป็นเวลานานก็ยังพูดออกมาเป็นคำที่สมบูรณ์ไม่ได้
เขากระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย สุดท้ายก็ “ตุ้บ” คุกเข่าลงคำนับหลินชวน
หลินชวนหัวเราะเล็กน้อย แล้วหยิบอีกชิ้นขึ้นมา :
“หวังเถี่ยจู้ เจ้าสร้างความวุ่นวาย ถือว่ามีความชอบใหญ่หลวง!”
หวังเถี่ยจู้รับเงินด้วยสองมือ เสียงสั่นเครือ :
“ขะ ขอบคุณพี่ซิ่วไฉ!”
หลินชวนแบ่งให้ทีละคน ทุกคนได้รับเงินมากกว่าหนึ่งตำลึง
สุดท้ายเหลืออีกกว่าสามตำลึง หลินชวนก็ไม่เกรงใจ เก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง
ชาวบ้านที่ได้เงินมองหน้ากันไปมา
ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าใครนำตะโกนขึ้นมาว่า : “เฮียหลิน!”
คนอื่นก็ตะโกนตามทันที : “เฮียหลิน! เฮียหลิน!”
หลินชวนยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ :
“เงินเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเราแลกมาด้วยชีวิต รางวัลที่แท้จริงยังอยู่ที่ทัพทหารชายแดน! รอเราส่งมอบศีรษะไป ยังมีเงินรางวัลที่มากกว่านี้รออยู่!”
ทันทีที่พูดจบ เสียงกีบเท้าม้าก็ดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน
ทหารหลวงชุดหนึ่งปรากฏตัวที่ทางเข้าหมู่บ้าน
หัวหน้าคือนายกองธงเล็กที่มีจมูกสีแดงก่ำ ขี่ม้าแก่ ๆ ตัวหนึ่ง
“ทุกคนหยุดอยู่ตรงนั้น!”
นายกองธงเล็กจมูกสีแดงก่ำดึงบังเหียน สายตากวาดมองศพของพวกหลางหรงบนพื้น :
“บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาซ่อนศีรษะของพวกโจรไว้?”
