บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

ช่างเหล็กจ้าวถอนหายใจออกมา

เขายืนหลังงอแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องด้านใน

หัวหน้าหมู่หูพูดถึงขนาดนี้แล้ว การที่เขาจะพูดอะไรอีกก็คงไร้ประโยชน์

เขาเลิกผ้าม่านเนื้อหยาบสีเหลืองซีดขึ้น

ภายในห้องที่มืดสลัวเต็มไปด้วยกลิ่นสนิมเหล็กและขี้เลื่อย

ที่มุมห้อง หีบไม้จันทน์หอมใบหนึ่งวางนิ่งอยู่ พื้นผิวเต็มไปด้วยฝุ่น

เขาย่อตัวลง ใช้นิ้วมือที่เหี่ยวย่นจับฝาหีบ

หลังจากเสียง “แอ๊ด” ดังขึ้น ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้ก็ถาโถมเข้าใส่

ที่ก้นหีบมีดาบขวางฟ้าผ่าเล่มหนึ่งวางอยู่

เชือกสีแดงที่พันรอบฝักดาบซีดจางจนกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มแล้ว

ช่างเหล็กจ้าวใช้นิ้วมือค่อย ๆ ลูบไล้ลวดลายบนเนื้อไม้ของฝักดาบ

ลายไม้เหล่านั้นราวกับยังคงมีกลิ่นหอมของเหล้าที่ใต้ต้นจงในปีนั้นอยู่

เมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิปีนั้น เขากับพี่หลินจิบเหล้าข้าวหมักที่ทำเอง ต่างพากันพนันด้วยความมึนเมาว่าจะตีดาบชั้นดีที่สามารถสืบทอดกันไปชั่วลูกชั่วหลานออกมาให้ได้

“นี่มันคือโชคชะตา......” เขาพูดเบา ๆ

ในช่วงเวลากว่าสองเดือน เขาเฝ้าเตาหลอมและตีเหล็กทั้งวันทั้งคืน

พี่หลินมักจะนำเหล้ามาที่โรงตีเหล็กเสมอ หัวเราะพูดคุยในขณะที่มองเขาตีเหล็ก : “รอจนกว่าหลินชวนจะแต่งงานกับหยุนเหนียง เกรงว่าดาบเล่มนี้ของเจ้าก็คงยังตีไม่เสร็จ......”

ใครจะคาดคิด การปล้นสะดมของชาวตาดที่มาอย่างกะทันหันเพียงครั้งเดียว ได้พรากชีวิตพี่ชายทั้งสองคนไป......

ช่างเหล็กจ้าวตัวสั่นเทาขณะหยิบดาบยาวออกมา :

“ดาบเล่มนี้ เดิมทีควรจะเป็นของพ่อเจ้า แต่เขาไม่ทันได้อยู่รอ......ก่อนหน้านี้เจ้าเรียนหนังสือ คงไม่ได้ใช้ ข้าจึงไม่ได้ให้เจ้าไป......ตอนนี้เจ้าจะเข้าร่วมกองทัพ ก็ให้ของกลับคืนสู่เจ้าของเดิมเถิด......”

หลินชวนใจเต้นระรัว

ในวินาทีที่เขารับดาบมา น้ำหนักที่หนักอึ้งก็กดแขนเขาให้จมลง

ฝักดาบไม้ก่อดำดูเรียบง่ายไม่หวือหวา เมื่อใช้นิ้วหัวแม่มือดันปลอกฝักดาบเบา ๆ แสงเย็นวาบก็ปรากฏขึ้น

รูม่านตาของหลินชวนหดตัวลงฉับพลัน

นี่คือดาบขวางฟ้าผ่าที่ได้มาตรฐาน!

“ดาบชั้นดี!”

“เคยลองแล้ว มันสามารถฟันดาบมาตรฐานของทัพชายแดนให้ขาดได้”

น้ำเสียงของช่างเหล็กจ้าวมีความภาคภูมิใจอยู่บ้าง แต่ก็พลันหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว “น่าเสียดาย......ที่มันสิ้นเปลืองแรงมากเกินไป”

หลินชวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ผู้คนในโลกนี้ต่างรู้ว่า “เหล็กกล้าต้องผ่านการตีเป็นร้อยครั้ง”

ดาบที่ดีจริง ๆ เล่มหนึ่ง จำเป็นต้องใช้เหล็กที่ยอดเยี่ยม ต้องผ่านการตีเป็นพันครั้ง

ในยุคสมัยนี้ มันช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ

เขาถามเบา ๆ : “ลุงจ้าว ราคาเท่าไรหรือ?”

“ไม่ต้องรีบร้อน รอเจ้าได้รับเบี้ยหวัดแล้วค่อยจ่ายก็ยังไม่สาย”

“เช่นนั้น......ขอบคุณลุงจ้าวมากขอรับ”

หลินชวนกำฝักดาบไว้ในมือ

สายตาเหลือบไปเห็นหัวธนูสองสามชิ้นที่มุมห้อง :

“ลุงจ้าว หัวธนูที่ท่านทหารคนนั้นต้องการ คือแบบนี้หรือ?”

ช่างเหล็กจ้าวพยักหน้า และหยิบหัวธนูที่ถูกทิ้งแล้วชิ้นหนึ่ง ขึ้นมาจากมุมกำแพงแล้วยื่นให้หลินชวน :

“ก็ทรงนี้แหละ หัวเหล็กสามเหลี่ยม ก้านเป็นไม้พญาเสือโคร่ง”

หลินชวนรับไป และดูอย่างละเอียด

หัวธนูนี้ถูกทำขึ้นหยาบ ๆ แค่ตีขึ้นรูปเป็นทรงพีระมิดสามเหลี่ยมอย่างง่าย ขอบยังไม่คมกริบพอ

หากใช้จัดการเป้าหมายที่ไม่มีเกราะก็พอได้ แต่ชาวตาดส่วนใหญ่สวมเกราะหนัง หัวธนูแบบนี้เกรงว่าจะเจาะทะลุเกราะได้ยาก

“ธรรมดาเกินไป” หลินชวนกล่าวเบา ๆ

ช่างเหล็กจ้าวหัวเราะเยาะ : “มันคือแบบมาตรฐานที่กรมอาวุธกำหนด จะดีได้แค่ไหนกันเชียว? ขนาดนี้แล้ว ป้อมหนึ่งยังได้รับแค่เพียงสองร้อยดอก ยิงหมดแล้วยังต้องเก็บกลับมาใช้ซ้ำ”

หลินชวนไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบกิ่งไม้เล็ก ๆ ออกมาจากกองถ่าน แล้ววาดลงบนพื้น

ลายเส้นนั้นเรียบง่ายแต่เฉียบคม ในไม่ช้าก็ร่างรูปทรงสามเหลี่ยมที่มีลักษณะแปลกประหลาดออกมา ตรงปลายด้านท้ายมีตะขอเล็ก ๆ ติดอยู่

“ลุงจ้าว ท่านลองดูแบบนี้สิ......”

“นี่คืออะไร?” ช่างเหล็กจ้าวหรี่ตาลง

“หัวธนูที่ได้รับการปรับปรุง” หลินชวนกล่าวเบา ๆ “เป็นแบบสามเหลี่ยมมีร่องเลือด เมื่อทะลุเข้าสู่เนื้อจะหมุนฉีกแผล ตะขอจะช่วยดึงเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อออกมา ใช้จัดการกับชาวตาดที่ใส่เกราะ มันมีประสิทธิภาพมากกว่าหัวธนูธรรมดา”

ช่างเหล็กจ้าวจ้องมองลวดลายบนพื้น ลูกกระเดือกของเขากลอกขึ้นลง

เมื่อครั้งยังหนุ่มเขาก็เคยเป็นนายพราน ย่อมเข้าใจถึงความอำมหิตของแบบร่างนี้

ครู่ใหญ่เ ขาพูดด้วยเสียงแหบพร่า : “เจ้าหนุ่ม......วัน ๆ เจ้าอ่านตำราอะไรอยู่ที่บ้านกันแน่?”

หลินชวนไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปที่ลวดลายบนพื้น : “ลุงจ้าว ตีมันออกมาได้หรือไม่?”

“จะว่าได้ก็ได้......” ช่างเหล็กจ้าวถูรอยด้านบนมือของเขา “แต่ว่ามันเปลืองแรง ในหนึ่งวันตีได้อย่างมากก็แค่สิบห้าดอก”

“ลุงจ้าว เช่นนั้นก็ช่วยข้าตีออกมาสักสามสิบดอก”

หลินชวนล้วงถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากอก เทเหรียญทองแดงออกมาสองสามเหรียญ

นี่คือเงินเก็บสุดท้ายของเขา “จ่ายค่ามัดจำไว้ก่อน”

ช่างเหล็กจ้าวปัดมือเขาออก : “ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องรีบร้อน” เขาหันหลังเดินไปยังทั่งตีเหล็ก แผ่นหลังที่งอลงยิ่งดูโดดเดี่ยวภายใต้แสงไฟ “อีกสองวันค่อยมารับ หากว่า......หากว่าเจ้าไม่กลับมา บัญชีนี้ก็ค่อยคิดกับแม่เจ้าแล้วกัน”

“ขอบคุณลุงจ้าว!” หลินชวนกล่าว

ช่างเหล็กจ้าวโบกมือ ไม่ได้พูดอะไร

…...

หลินชวนกำดาบยาว เพิ่งจะเดินออกจากโรงตีเหล็ก

จู่ ๆ เสียงฆ้องที่ฟังดูเร่งรีบ ก็ดังมาจากที่ไกล ๆ

“ชาวตาดมาแล้ว! ชาวตาดมาแล้ว!”

ใต้ต้นหางนกยูงเก่าแก่

ผู้ใหญ่บ้านกำลังตีฆ้องเก่า ๆ อย่างบ้าคลั่ง คอแหบจนแทบจะไม่มีเสียง

ชาวบ้านหลายคนวิ่งหนีอลหม่านเข้าไปในหมู่บ้าน

หลินชวนหรี่ตาลงและมองไปทางทิศเหนือ

ละอองฝุ่นลอยตลบขึ้นที่ปลายถนนหลวง มองเห็นเงาดำของม้าห้าหกตัวกำลังรุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เป็นทหารม้าหลางหรง!” มีคนกรีดร้อง

ฝูงชนแตกตื่นทันที วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

“ทุกคนอย่าแตกตื่น!”

หลินชวนก้าวเท้าไปที่ต้นหางนกยูง เหยียบลงบนม้านั่งที่ผู้ใหญ่บ้านวางฆ้องไว้ : “ทุกคนฟังข้า!”

เสียงไม่ดังนัก แต่ทำให้ฝูงชนที่วุ่นวายสงบลงในทันที

ผู้คนต่างมองบัณฑิตที่ปกติไม่ค่อยออกจากบ้านคนนี้ด้วยความประหลาดใจ

ในเวลานี้ แผ่นหลังที่ตั้งตรงและดวงตาที่คมกริบของเขา กลับทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกหน้าไปบ้าง

“ก็แค่ทหารม้าสอดแนมไม่กี่คนเท่านั้น!”

หลินชวนกวาดสายตามองทุกคน “ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านเรามีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน จะกลัวอะไร?”

“ไอ้พวกบัณฑิตจะไปรู้อะไร!”

จางเหล่าเนียนที่ซุกตัวอยู่มุมกำแพงตัวสั่นไม่หยุด

“นั่นคือทหารสอดแนมหลางหรงนะ! เมื่อปีที่แล้วชาวบ้านกว่าสามสิบชีวิตของหมู่บ้านตระกูลหวัง ก็ตายด้วยน้ำมือของพวกมัน”

“เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจึงจะยืนรอให้ถูกตัดหัวทีละคนอย่างนั้นหรือ?”

หลินชวนหัวเราะเยาะ พลันชักดาบยาวออกมาดัง “เช้ง” “ใครจะตามข้าไปฆ่าชาวตาดบ้าง?!”

ฝูงชนเงียบลง

ภายใต้แสงอาทิตย์ คมดาบส่องแสงเย็นวาบ

มีคนกระซิบเสียงเบา : “ท่านพี่ซิ่วไฉ ท่านจะแกว่งดาบไหวหรือ......?”

ร่างเดิมไม่เคยสอบได้ตำแหน่งใด “ท่านพี่ซิ่วไฉ” เป็นเพียงฉายาที่ชาวบ้านตั้งให้

เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ หลินชวนก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว ดาบยาวตวัดเป็นประกายโค้งสีเงินในอากาศ

เสียง “แครก” ดังขึ้น กิ่งไม้ที่มีขนาดเท่าปากชามก็ถูกตัดขาดในทันที แล้วหล่นกระแทกพื้น

ชายหนุ่มหลายคนเบิกตากว้าง หายใจถี่กระชั้น

ไม่มีใครเกิดมาเป็นคนขี้ขลาด เพียงแต่ขาดผู้นำเท่านั้น

“ทะ......ท่านพี่ซิ่วไฉ ข้า ข้าจะไปกับท่าน!”

เด็กหนุ่มหน้าตกกระคนหนึ่งก้าวออกมา เขาคือจางเสี่ยวเนียนลูกชายของจางเหล่าเนียน

“เสี่ยวเนียนเจ้าจะทำอะไร?!” จางเหล่าเนียนตะโกนเสียงดัง “จะไปรนหาที่ตายหรือไง?”

“ท่านพ่อ!” จางเสี่ยวเนียนยืดคอ “ข้า ข้าไม่อยาก ไม่อยากเหมือน เหมือนท่านพ่อ ที่ถูกผู้คนดูถูกไปตลอดชีวิต!”

“เจ้า......” จางเหล่าเนียนพูดไม่ออกชั่วขณะ

“นับข้าด้วย!” หวังเถี่ยจู้กำจอบแน่น

“ยังมีข้าด้วย!”

“ข้าก็จะไปด้วย!”

ไม่นานนัก ชายฉกรรจ์สิบเอ็ดคนก็รวมตัวกันอยู่ข้างหลินชวนด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา

ในมือของพวกเขากำเคียว จอบ และยังมีเด็กหนุ่มที่ยังโตไม่เต็มวัยคนหนึ่ง ถือไม้ไผ่ที่เหลาปลายแหลมชูไว้

“ไป ไปกันเถอะ......” จางเสี่ยวเนียนกลืนน้ำลาย “ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขายัง ยังไม่ทันเข้าหมู่บ้าน......”

“หยุด!” หลินชวนคว้าตัวเขาไว้ “สิบเอ็ดคนจะสู้กับทหารม้า? พวกเจ้าอยากไปตายหรืออย่างไร?”

“ถ้า ถ้าอย่างนั้นจะทำเช่นไร?”

หลินชวนกวาดตามองถนนดินที่ตัดกันไปมาในหมู่บ้าน : “ล่อพวกเขาให้เข้ามาสู้ในหมู่บ้าน”

“หา?” ทุกคนจ้องมองอย่างงุนงง “ล่อเข้ามา?”

“ทหารสอดแนมหลางหรงเก่งกาจเรื่องขี่ม้า หากอยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง เราไม่มีทางชนะได้เลย”

หลินชวนชี้ไปที่หมู่บ้าน “แต่ถนนดินในหมู่บ้านแคบและคดเคี้ยว ม้าไม่สามารถโลดโผนได้ พวกเราคุ้นเคยกับทุกซอกซอย อีกทั้งกำแพงบ้านยังสามารถหลบลูกธนูของอีกฝ่ายได้......”

จางเสี่ยวเนียนกะพริบตาปริบ ๆ : “แต่นี่ แต่ แต่จะสู้อย่างไรดี?”

“ฟังแผนการจากข้า!”

หลินชวนย่อตัวลง หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาและวาดลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว

แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของหลินชวนนัก แต่ความหวังก็ค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นในดวงตาของทุกคน

จากระยะไกล เสียงผิวปากของทหารสอดแนมหลางหรงก็ดังชัดเจนขึ้นจนได้ยิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel