บทที่ 2
หลินชวนส่งหยุนเหนียงกลับไปที่บ้านหลังข้าง ๆ
จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยโคลน มุ่งหน้าไปยังบ้านของช่างเหล็กจ้าว
ช่างเหล็กจ้าวคือเพื่อนสนิทของพ่อเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นผู้ที่รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย
ความคิดที่จะเข้าร่วมกองทัพ สามารถไปขอคำชี้แนะจากเขาได้
เมื่อเดินมาถึงใต้ต้นจงเก่าแก่ที่อยู่ตรงหัวหมู่บ้าน
ข้าง ๆ ก็คือโรงตีเหล็ก
ขนาดร้านไม่ใหญ่เท่าไรนัก ตรงประตูมีผ้าม่านสีน้ำเงินซีด ๆ แขวนอยู่
ตอนที่หลินชวนเปิดผ้าม่านเข้าไป ช่างเหล็กจ้าวกำลังนั่งยอง ๆ ซ่อมหัวคราดที่มีรอยบิ่นอยู่บนพื้น
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นมอง ; “แหม ชวนจื่อ แขกหายากนะเนี่ย”
“ลุงจ้าว” หลินชวนนั่งยองลงข้าง ๆ เขา “ข้าอยากเข้าร่วมกองทัพ”
ตะไบที่อยู่ในมือของช่างเหล็กจ้าวหยุดชะงักไปชั่วขณะ หรี่ตามองสำรวจเขา : “แม่ของเจ้ารู้หรือไม่?”
“รู้” หลินชวนโกหก
“จิ๊” ช่างเหล็กจ้าวส่ายหน้า วางเครื่องมือลง แล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน “เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”
ภายในบ้านคับแคบกว่าด้านนอก บนหนังมีเคียวและจอบที่เพิ่งตีเสร็จใหม่ ๆ หลายด้ามแขวนอยู่ ตรงมุมมีข้าวสารไม่ขัดสีกองอยู่ครึ่งกระสอบ
ช่างเหล็กจ้าวรินน้ำชาให้หลินชวนหนึ่งถ้วย ในน้ำชามีตะกอนและมีรำข้าวลอยอยู่สองสามเม็ด
“อยากเข้าร่วมกองทัพไหน?”
ช่างเหล็กจ้าวลูบรอยด้านที่อยู่บนนิ้วมือ “ศาลาว่าการกำลังเปิดรับสมัครทหารอาสา แม้เบี้ยหวัดจะน้อยไปหน่อย แต่ก็ดีที่มั่นคง......”
หลินชวนส่ายหน้า : “ข้าจะไปกองทัพชายแดน”
“กองทัพชายแดน? นั่นคือสถานที่ที่มีแค่หนึ่งในสิบคนที่รอดนะ”
ช่างเหล็กจ้าวขมวดคิ้วแน่น “แม้เบี้ยหวัดมาก แต่ก็ต้องอยู่รอดถึงจะได้รับ......”
“ได้ยินว่าราชสำนักเพิ่งจัดตั้งหน่วยทหารประจำป้อมปราการขึ้นมาใหม่?” หลินชวนลองถามหยั่งเชิง
“ทหารประจำป้อมปราการ?” ช่างตีเหล็กจ้าวตกตะลึงไปเล็กน้อย “ตรงเขาด้านหลังของเรามีอยู่หนึ่งแห่ง แต่ถึงแม้จะเรียกว่ากองทัพชายแดน แต่ก็อันตรายยิ่งกว่ากองทัพชายแดนทั่วไป
“เพราะเหตุใด?”
“เจ้าลองคิดดูนะ” ช่างเหล็กจ้าวอธิบายพร้อมกับทำไม้ทำมือประกอบ “ทหารชานแดนทั่วไปประจำการอยู่ในค่ายใหญ่ อย่างน้อยก็มีคนมากและมีอำนาจ”
แต่ทหารประจำป้อมปราการนี้ ต้องกระจายกำลังไปยังที่ต่าง ๆ ในหนึ่งป้อมมีแค่สิบกว่าคน หากเผชิญหน้ากับชาวตาดขึ้นมา แม้แต่กำลังเสริมก็ยังไม่มี
เขาเห็นหลินชวนนิ่งเงียบไป ก็เอ่ยโน้มน้าวขึ้นมาอีกว่า : “แม่ของเจ้ามีเจ้าเป็นลูกชายแค่คนเดียว พ่อของเจ้าเองก็ไม่อยู่แล้ว หากเจ้าไปอยากเป็นทหารอาสา ไปเป็นทหารหลวงก็ยังปลอดภัยกว่าทหารชายแดนนะ......”
“ไม่ ข้าอยากไปเป็นทหารชายแดน” หลินชวนส่ายหน้า
ทหารหลวงกับศาลาว่าการ ล้วนมีเส้นสายของคหบดีจาง มีเพียงทหารชายแดน ที่จะแก้วิกฤตนี้ได้
ช่างเหล็กจ้าวตกตะลึง จู่ ๆ ก็เข้าใจจุดประสงค์ในการเข้าร่วมกองทัพของหลินชวนขึ้นมาในทันที
เขาอ้าปาก คิดจะกล่าวโน้มน้าวอะไรอีกสักหน่อย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก ก็มีเสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังขึ้นมาจากนอกบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเครื่องเหล็กกระทบกันอย่างชัดเจน
ม่านถูกเปิดออก ทหารที่สามเกราะนวมสีแดงเข้ามาสามคนกำลังยืนอยู่ภายใต้แสงอรุณ
ผู้เป็นหัวหน้ามีป้ายทองแดงห้อยอยู่ที่เอว บนหนวดเครารุงรังยังเปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อ
“เหล่าจ้าว เอาน้ำมาให้ข้าชามหนึ่งก่อน”
น้ำเสียงของทหารแหบพร่า “อากาศบ้านี่ ต้องลาดตระเวนบนเขา ข้าคอแห้งผากไปหมดแล้ว”
“แหม วันนี้นายทหารหูมาแต่หัววันเชียวนะ......” ช่างเหล็กจ้าวรีบตักน้ำมาให้
สายตาของหลินชวนจับจ้องไปที่ป้ายทอดแดงที่อยู่ตรงเอวของทหารผู้นั้น
บนป้ายทองแดง มีอักษรคำว่า “ป้องกัน” สลักเอาไว้อยู่
ชาติก่อนเขาเคยเห็นยันต์ทหารที่คล้ายกันนี้ในพิพิธภัณฑ์
ตามบันทึกของตำราทางทหาร หากมีตัวอักษร “ป้องกัน” ขึ้นต้น ล้วนเป็นหน่วยรบชั้นยอดที่ขึ้นตรงต่อกองทัพชายแดน!
“สองวันนี้ชาวตาดไม่ค่อยสงบ......”
ทหารหนวดเครารุงรังรับชามน้ำไป ดื่มจนหมดในอึกเดียว
“อ้า— ชื่นใจ! หัวธนูที่ข้าสั่งตีเสร็จหรือยัง?”
“เสร็จแล้วขอรับ เสร็จแล้วขอรับ”
ช่างเหล็กจ้าวหยิบถุงจากมุมห้องขึ้นมา ข้างในมีเสียงเหล็กกระทบกันดังกร๊องแกร๊ง
เขายื่นถุงให้ทหารหนวดเครารุงรัง
“นายทหารหู พวกเรา......จะป้องกันไว้ได้หรือไม่?”
“คงต้องแล้วแต่โชค!”
ทหารหนวดเครารุงรังลองชั่งน้ำหนักถุง แล้วพยักหน้า
เขาหันกลับไปมองหลินชวน : “บัณฑิตน้อยคนนี้หน้าไม่คุ้นเลย มาจากไหนหรือ?”
“นายทหารหู นี่คือลูกชายของตระกูลหลินในหมู่บ้าน ปกติเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ไม่ค่อยออกจากบ้านหรอก”
ช่างเหล็กจ้าวดึงหลินชวนเข้ามา
“เอ๊ะ ชวนจื่อ เจ้ากำลังอยากรู้เรื่องทหารประจำป้อมปราการไม่ใช่หรือ? ท่านผู้นี้คือหัวหน้าหมู่หูแห่งปราสาทเถี่ยหลินที่อยู่หลังเขา เป็นทหารรักษาการณ์ชายแดนเก่าแก่ตัวจริง แม้แต่ทหารหลวงเจอเขายังต้องหลีกทางให้......”
หลินชวนใจเต้นระรัว
ทหารประจำป้อมปราการ! เป็นเหล่าทหารที่เขาอยากจะเข้าร่วมพอดี
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นระบบการจัดทัพที่ราชวงศ์ต้าเฉียนเพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่หลินชวนเคยเห็นบันทึกที่คล้ายกันนี้ในเอกสารประวัติศาสตร์การทหารในชาติก่อน
จุดที่พิเศษที่สุดของทหารชายแดนประเภทนี้คือ “การรบและการทำนาเป็นหนึ่งเดียว”
ในยามปกติทหารเหล่านี้จะทำนาในที่ดินของกองทัพ เมื่อเกิดสงครามก็จะจับอาวุธต่อต้านศัตรู
หากสามารถบริหารจัดการได้ดี ป้อมปราการหนึ่งแห่งก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ หรือแม้กระทั่งมีเสบียงอาหารเหลือพอที่จะดึงดูดผู้อพยพลี้ภัยเข้ามา และค่อย ๆ พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งกว่านั้น ปราสาทเถี่ยหลินตั้งอยู่หลังเขา ห่างจากบ้านเพียงสิบลี้
ทั้งไม่ต้องไปประจำการที่ชายแดนไกล ๆ เหมือนทหารชายแดนทั่วไป และยังสามารถดูแลครอบครัวได้ตลอดเวลา
ที่สำคัญที่สุดคือ ทหารประจำป้อมปราการอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพชายแดน เป็นคนละระบบกับทหารหลวง แม้แต่ตราประจำตำแหน่งของกองทัพทหารหลวงก็ไม่มีสิทธิ์สั่งการ
ถ้าหากไต่เต้าเป็นขุนนางเล็ก ๆ ได้ คหบดีจางก็ไม่สามารถก่อเรื่องอะไรได้แล้ว
“บัณฑิตน้อยถามเรื่องทหารประจำป้อมปราการไปทำไมหรือ?” หัวหน้าหมู่หูหรี่ตาลง
“เรียนท่านทหาร ข้าอยากจะเข้าร่วมกองทัพ” หลินชวนกล่าวอย่างนอบน้อม
“อยากเข้าร่วมกองทัพหรือ?” หัวหน้าหมู่หูเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าอ่านออกเขียนได้ใช่ไหม?”
“เขียนได้ คำนวณได้ และคัดลอกเอกสารได้ขอรับ” หลินชวนตอบด้วยท่าทีสงบ
ทหารหลายคนสบตากัน หนึ่งในนั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า : “หัวหน้าหมู่ อ่านออกเขียนได้จริงหรือไม่ ลองทดสอบดูก็รู้แล้ว”
หัวหน้าหมู่หูหัวเราะเสียงดัง ล้วงม้วนกระดาษเคลือบน้ำมันออกมาจากซับในเกราะหนัง : “อ่านให้ฟังหน่อยซิ”
หลินชวนคลี่ม้วนกระดาษสีเหลืองซีดออกมา และอ่านโดยพลัน : “ปราสาทเถี่ยหลินจัดหาปืนสามตาสองกระบอก ดินปืนสิบห้าชั่ง ต้องป้องกันความชื้น......”
เขาหยุดอ่านกะทันหัน
“ทำไมถึงไม่ยอมอ่านต่อล่ะ?” หัวหน้าหมู่หูถาม
“ท่านทหาร นี่คือบัญชีรายการยุทธภัณฑ์...”
หลินชวนค่อย ๆ พับเอกสารนั้นลง ยื่นคืนให้หัวหน้าหมู่หูด้วยมือทั้งสองข้าง และกล่าวเบา ๆ ว่า “นี่คือเอกสารลับ ข้าน้อยไม่กล้าดูนานนัก”
ประกายแสงคมกริบวาบขึ้นในดวงตาของหัวหน้าหมู่หู มือใหญ่ที่หยาบกร้านตบลงบนไหล่ของหลินชวนอย่างแรง : “ดี! รู้กฎ!” เขาหันไปยิ้มให้กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชา “เห็นรึยัง? แบบนี้แหละที่เรียกว่าคนฉลาด!”
ทหารหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงเบา : “หัวหน้าหมู่ ท่านกำลังกลุ้มใจเรื่องเอกสารมากมายพวกนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ......”
“หุบปาก!” หัวหน้าหมู่หูจ้องเขม็งใส่เขา แล้วหันไปหาหลินชวนอีกครั้ง ท่าทีดูสนิทสนมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “น้องชาย ข้าจะบอกเจ้าตามตรงนะ ปราสาทเถี่ยหลินของเราขาดคนที่อ่านหนังสือออกเช่นเจ้า เบี้ยหวัดเดือนละสองตำลึงสี่เฉียน เจ้าจะทำหรือไม่?”
“ท่านทหาร ข้าได้ยินมาว่าหากตัดหัวศัตรูสามหัว จะได้รับตำแหน่งนายกองธงเล็กทันที ใช่หรือไม่?” หลินชวนถาม
“ตัดหัวศัตรูสามหัว?” หัวหน้าหมู่หูตะลึงงันไป
เหล่าทหารหันมองหน้ากัน แล้วหัวเราะเสียงดังลั่น
“ตัดหัวศัตรูสามหัวหรือ? เจ้าหนุ่มช่างกล้าพูดจริง ๆ !”
หัวหน้าหมู่หูมองสำรวจร่างกายที่ผอมบางของหลินชวนตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วหัวเราะเยาะ
“บัณฑิตน้อย อย่าคิดว่าแค่ได้อ่านตำราพิชัยสงครามสองสามเล่มก็จะออกไปรบฆ่าศัตรูได้ ดาบโค้งของชาวตาดน่ะ ไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะอ่านออกเขียนได้หรือไม่”
หลินชวนกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัวเกินไปและไม่หยิ่งผยองเกินไป : “คำสั่งสอนของท่านทหารเป็นเรื่องจริงขอรับ แต่ในเมื่อข้าอาสาเข้าร่วมกองทัพแล้ว ก็ไม่ได้คิดที่จะหลบอยู่ข้างหลัง”
“ดี!” หัวหน้าหมู่หูตะโกนเสียงดัง “เพื่อเห็นแก่ความมาดมั่นของเจ้า ข้าจะให้โอกาสนี้กับเจ้า! พรุ่งนี้มาที่ปราสาทเถี่ยหลิน ส่วนจะได้เป็นนายกองธงเล็กหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีกี่ชีวิตพอให้ชาวตาดมาตัดหัว!”
ทหารหลายคนพากันหัวเราะเยาะ
หนึ่งในนั้นพูดจาเหน็บแนม : “หัวหน้าหู ถ้าเจ้าหนุ่มนี่สามารถตัดหัวชาวตาดได้สามหัวจริง ๆ พวกเราก็คงต้องเรียกเขาว่าท่านปู่แล้วกระมัง?”
หัวหน้าหมู่หูเตะเข้าที่ก้นของคนผู้นั้น : “ไปให้พ้น! ถ้าเจ้าตัดได้สามหัว ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าท่านปู่เหมือนกัน!”
“หัวหน้าหมู่——”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนด้วยความเร่งรีบดังมาจากนอกบ้าน
ทหารถือสารคนหนึ่งเหงื่ออาบหน้าวิ่งพรวดพราดเข้ามา : “หัวหน้าหมู่! หอส่งสัญญาณมีควันขึ้นแล้ว!”
“พวกชาวตาดสารเลว ทั้งวันทั้งคืนไม่จบไม่สิ้นเสียที!”
สีหน้าของหัวหน้าหมู่หูเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาคว้าถุงใส่หัวธนู และยืนขึ้นทันที
เขามองหลินชวนแวบหนึ่ง และกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า :
“พรุ่งนี้! ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ป้อม!”
