#6
เรื่องนี้หากจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ย่อมมองได้ แต่สำหรับหมิ่นหราน นางถือเป็นเรื่องใหญ่ บุตรชายชั่วช้าไม่จัดการยังพอทำเนา นี่คนเป็นบิดายังใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานมาให้ท้าย ขุนนางเช่นนี้ ไม่ควรปล่อยเอาไว้ หากกลับไปได้เมื่อใด คงต้องบอกให้หยวนจ้าวจงจัดการขั้นเด็ดขาด
บทสนทนาของคนทั้งสองฟังอย่างไรก็ไม่ใช่บทสนทนาที่ชาวบ้านธรรมดาจะพูดคุยกันได้ ซ่งเจียจิ่นนั่งเงียบมานานจึงเอาแต่มองบุตรสาวของตนอย่างเหม่อลอย มาถึงตอนนี้ นางเริ่มมั่นใจแล้วว่า ดรุณีน้อยเบื้องหน้า ไม่ใช่บุตรสาวที่นางคลอดออกมา
ขบวนรถม้าหยุดลงหน้าจวนแห่งหนึ่ง ขณะนั้นหน้าประตูเต็มไปด้วยผู้คน เฉาลู่ปินร้อนใจแทบคลั่ง หลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น หากไม่มีคนมาแจ้งว่าท่านพ่อของเขาปลอดภัย เกรงว่าเฉาลู่ปินคงไปถึงประตูเมืองนานแล้ว
ทันทีที่รถม้าจอดสนิท เฉาลู่ปินและเฉาลู่หยารีบเดินไปรอรับบิดา ครั้นเห็นศีรษะโผล่พ้นม่านออกมา ใบหน้าเครียดขึงถึงได้ผ่อนคลายลง
น้ำตาของเฉาลู่หยาเอ่อคลอ นางเป็นหญิงอ่อนแอบอบบาง เพียงได้เห็นหน้าบิดาก็ร้องไห้ออกมาเสียแล้ว
หลังจากลงมายืนเบื้องล่าง เถ้าแก่เฉาถึงได้หันไปกล่าวกับบุตรธิดาทั้งสอง “พ่อปลอดภัยดี พวกเจ้าอย่าได้กังวล”
เมื่อเห็นว่าบนรถม้ายังมีคนอื่น พี่น้องตระกูลเฉาจึงพากันหันมามองบิดาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เฉาลู่หยารีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา เพื่อไม่ให้เสียมารยาท
หญิงแซ่ซ่งก้าวลงมาแล้ว ยอบกายคำนับคนทั้งสองด้วยท่าทางนอบน้อม เจียมเนื้อเจียมตัว “เจียจิ่นคารวะคุณหนู คุณชายเจ้าค่ะ” ซ่งเจียจิ่นเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา ไหนเลยจะกล้าตีตนเสมอท่าน แม้ว่าเถ้าแก่เฉาจะให้เกียรตินาง แต่สัญชาตญาณความเป็นผู้น้อยยังคงติดอยู่ในสายเลือดของนางอยู่ดี
เฉาลู่ปินกับเฉาลู่หยาหันมาสบตากัน สองพี่น้องทำเพียงคลี่ยิ้มไม่ได้กล่าววาจา กระทั่งศีรษะเล็กโผล่ออกมาจากม่านประตูบนรถม้า พวกเขาถึงได้เบนสายตาไปมอง
กิริยาท่าทางของหย่าโถวน้อยที่พึ่งก้าวลงมา ผิดกับแม่นางคนแรกอย่างสิ้นเชิง แม้จะอยู่ในชุดเก่ามอซอเหมือนกันแต่กลับให้ลักษณะแตกต่างกัน แผ่นหลังของชาวบ้านธรรมดานั้น น้อยคนนักที่จะตั้งตรงสง่างาม ยิ่งในยามที่พบปะกับผู้ที่มีฐานะสูงกว่า ใบหน้าของพวกเขายิ่งก้มต่ำ หากแต่เด็กคนนี้ไม่เพียงจะมีแผ่นหลังตั้งตรง กระทั่งลำคอระหงยังเชิดหยิ่งราวกับเป็นผู้มีอำนาจมาแต่กำเนิด ซึ่งแม้แต่คุณหนูในห้องหับบางคนยังทำเช่นนี้ไม่ได้
ร่างกายของหมิ่นหรานนั้นค่อนข้างผอมแห้งดำคล้ำ ศีรษะสูงแค่ไหล่ของหญิงแซ่ซ่ง ในสายตาผู้อื่น จึงเห็นนางเป็นเพียงหย่าโถวน้อยวัยเยาว์คนหนึ่ง ซึ่งขัดกับรัศมีรอบกายที่เปล่งออกมาโดยสิ้นเชิง สองพี่น้องแซ่เฉาเห็นแล้วถึงกับลอบตกใจ
หมิ่นหรานผงกศีรษะทักทายคนทั้งสองอย่างมีมารยาท ท่าทางไม่อ่อนน้อมไม่เย่อหยิ่งจนเกินไป มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ถูกอบรมมาอย่างดี
เฉาลู่เซียนเอ่ยแนะนำ “สองท่านนี้คือแม่นางซ่ง กับหมิ่นหราน ผู้มีพระคุณของพ่อ พวกนางจะมาเป็นแขกที่จวนของเรา”
ครั้นได้ยินว่าพวกนางเป็นผู้มีพระคุณของบิดา ในหัวของลู่ปินพลันผุดเรื่องที่ได้รับรายงานมา ด้วยคิดว่าเป็นหญิงแซ่ซ่งที่ให้ความช่วยเหลือบิดา จึงรีบประสานมือค้อมกาย
หากแต่ผู้ที่ถูกคารวะกลับรีบหลบไปยืนเบื้องหลังบุตรสาว กล่าวอย่างตระหนกตกใจว่า “คุณชาย ท่านเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ผู้ที่ช่วยชีวิตเถ้าแก่ไม่ใช่ข้า”
เฉาลู่ปินและเฉาลู่หยาพากันชะงักงัน หันมามองบิดา คนเป็นพ่อจึงพยักหน้าพลางมองไปที่หมิ่นหราน
บุตรธิดาทั้งสองของเถ้าแก่เฉามองไปยังหย่าโถวน้อย แววตาแฝงไว้ด้วยความงุนงงอยู่หลายส่วน หากแต่คนทั้งสองยังคงค้อมกายคำนับนางอยู่ดี
เฉาลู่ปินกล่าวเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า “ต้องขอบคุณน้องสาวแล้ว ที่ให้ความช่วยเหลือบิดาของข้า บุญคุณครานี้ ตัวข้าลู่ปินจะจดจำเอาไว้ หากน้องสาวต้องการให้ข้าตอบแทนอย่างไร เชิญบอกกล่าวข้าได้ทุกเมื่อ”
ลู่ปินนั้นสูงเกือบแปดฉื่อ รูปร่างอยู่ในวัยหนุ่มเต็มตัว ยามที่ต้องค้อมกายให้เด็กคนหนึ่ง จึงต้องก้มต่ำกว่าธรรมดา ทำให้ดูเก้กังไปบ้าง ใบหน้าหล่อเหลาแฝงไว้ด้วยความขัดเขิน
ถึงแม้ในใจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเด็กคนนี้อยู่มาก แต่เขาไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า
ผิดกับเฉาลู่หยาที่เอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มผูกไมตรี ไม่ได้มีท่าทางขัดเขินเหมือนผู้เป็นพี่ ในความคิดของนางนั้น การมีหย่าโถวน้อยอีกคนเข้ามาอยู่ในจวนย่อมเป็นเรื่องดี
เซี่ยหมิ่นหรานประเมินเด็กทั้งสองในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อย เป็นการตอบรับ “ลำบากคุณหนูคุณชายแล้ว”
กิริยาท่าทางและการวางตัวของนางดูอย่างไรก็ไม่คล้ายเด็กชาวบ้านธรรมดา แววตาเรียบนิ่งคู่นั้นราวกับมองทะลุไปถึงความคิดของผู้คน กลับเป็นชายหนุ่มอย่างลู่ปินเสียอีกที่ไม่กล้าสบตานางตรงๆ
เถ้าแก่เฉาเห็นว่าบ่ายคล้อยแล้ว จึงกล่าว “เอาล่ะ แดดเริ่มแรงแล้ว เข้าไปข้างในกันก่อนเถิด”
