#5
ครั้นเห็นเขาประสานมือทำท่าจะค้อมกายคารวะ ซ่งเจียจิ่นรีบร้องห้ามเสียงหลง “เถ้าแก่ ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ ท่านต่างหากที่เป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา ข้ากับบุตรสาวเพียงตอบแทนบุญคุณท่านเท่านั้น อย่าทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเป็นคนอกตัญญูเลยเจ้าค่ะ ข้าลำบากใจยิ่ง”
ได้ยินอย่างนั้น เถ้าแก่เฉาจึงไม่คิดสร้างความลำบากใจให้คนทั้งสอง ยอมเก็บมือกลับ แต่ยังใช้สายตาซาบซึ้งบุญคุณมองไปยังหมิ่นหราน ก่อนจะค้อมศีรษะ ขอตัวไปจัดการคลุมผ้าเกวียนสินค้า
ส่วนนายกองตู้รีบพาพวกมือปราบจากไปอย่างรวดเร็ว โดยอ้างว่าต้องไปตามจับตัวคนร้าย เรื่องค้าเกลือเถื่อนจึงจบลงง่ายๆ เช่นนี้
หลังจากเถ้าแก่เฉาไปแล้ว หมิ่นหรานช้อนตาขึ้นไปมองบานหน้าต่างบนชั้นสองของโรงน้ำชา เพ่งมองไปยังรอยแยกตรงม่านไม้ไผ่ ราวกับรู้ว่าที่นั่นมีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่
ดวงตาสองคู่มองสบกันท่ามกลางความวุ่นวาย นัยน์ตาสีนิลของหมิ่นหรานวูบไหวเล็กน้อย ครู่หนึ่ง นางถึงได้ดึงสายตากลับ เดินไปช่วยพวกคนงาน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็กนั่น.. รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือ? หึ ช่างน่าสนใจดีแท้ มุมปากข้างหนึ่งของเทียนป่าอ๋องยกขึ้นบางเบาแทบมองไม่เห็น
เถ้าแก่เฉาชักชวนสองแม่ลูกให้นั่งรถม้าไปกับตน คราแรกหญิงแซ่ซ่งคิดจะบอกปัด แต่เห็นว่าบุตรสาวขึ้นไปบนรถม้า จึงจำต้องตามขึ้นไปอย่างเสียไม่ได้
รอให้สองแม่ลูกขึ้นมานั่งฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว เฉาลู่เซียนจึงเอ่ย “ได้เจ้าช่วยชีวิตไว้ครานี้ เกรงว่าคำขอบคุณอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอ จากนี้พวกเจ้าจะถือเป็นแขกของข้า”
ซ่งเจียจิ่นรีบโบกไม้โบกมือ “เถ้าแก่ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเรารับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ”
“ถือว่าให้ข้าได้ทำเพราะความสบายใจด้วยเถิด” เฉาลู่เซียนยังคงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ต่อให้พวกนางไม่ยินยอม แต่เขาก็จะถือว่าพวกนางเป็นแขกอยู่ดี
วาจาแข็งขันของเขาทำให้ซ่งเจียจิ่นไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่ผินหน้าไปมองบุตรสาวที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง
เฉาลู่เซียนมองตามไปบ้าง
หมิ่นหรานไม่ได้สนใจสายตาคนทั้งสอง เพียงกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องบุญคุณ พวกเราถือว่าไม่มีอะไรติดค้าง ท่านไม่จำเป็นต้องตอบแทน พวกเราเต็มใจทำงานแลกกับที่อยู่ที่กิน ทำเช่นนี้ จะได้ไม่ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
เถ้าแก่เฉาเงียบไปหลายอึดใจ ด้วยไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธ แต่พอคิดตรึกตรองอีกที ก็คิดได้ว่า ตนไม่ควรสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น จึงพยักหน้า “ได้ ตกลงตามนั้น ข้ายินดีรับพวกเจ้าเป็นคนงาน”
“รบกวนเถ้าแก่แล้ว” หมิ่นหรานค้อมศีรษะน้อยๆ ให้เขาคราหนึ่ง ก่อนจะถามเรื่องที่นางยังไม่กระจ่าง “ว่าแต่เรื่องเมื่อครู่ ท่านพอจะทราบหรือไม่ ว่าเป็นฝีมือผู้ใด”
ครั้นนางเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เฉาลู่เซียนพลันมีสีหน้าคับแค้น “มือปราบพวกนั้นจะรับคำสั่งมาจากผู้ใดได้เล่า! หากไม่ใช่...”
ยิ่งพูดใบหน้าของเถ้าแก่เฉายิ่งเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง ลืมแม้กระทั่งว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตนนั้น ยังเป็นเพียงหย่าโถวน้อยนางหนึ่ง เขาถึงกับระบายความอัดอั้นให้นางฟัง “เมื่อแปดเดือนก่อน บุตรชายของข้าเกิดมีเรื่องวิวาทจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับบุตรชายหัวหน้าศาลต้าหลี่ แล้วเผลอไปทำฝ่ายนั้นแขนหักเข้า คงเป็นเพราะต้าหลี่ซือโกรธเคืองเรื่องนี้ ถึงได้คิดเล่นงานข้า!”
เซี่ยหมิ่นหรานฟังแล้ว หว่างคิ้วขยับเข้าหากันเล็กน้อย นึกไปถึงบุตรชายหัวหน้าศาลต้าหลี่
ต้าหลี่ซื่อมีบุตรชายทั้งสิ้นสองคน คนโตมีนามว่าเจียงฮั่นฝู ปีนี้อายุย่างเข้าวัยสิบแปด ส่วนอีกคนคือเจียงฮั่นอี้ผู้เป็นน้องชายพึ่งจะย่างเข้าวัยสวมหมวก ไม่รู้ว่าคนที่เถ้าแก่เฉาพูดถึงคือผู้ใด คิดแล้ว นางจึงถามออกไป “ไม่ทราบว่าคนที่ท่านพูดถึง เป็นเจียงคนพี่หรือคนน้อง?”
“ย่อมต้องเป็นคุณชายใหญ่สกุลเจียง!” เฉาลู่เซียนตอบเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฟังปราดเดียวก็รู้ว่าเกลียดชังผู้ที่กำลังเอ่ยถึงมากเพียงใด
“สองปีมานี้ เจียงฮั่นฝูผู้นั้นชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกชาวบ้าน หากเกิดต้องตาหญิงสาวคนใด ถ้าไม่บังคับซื้อตัวมา ก็ฉุดคร่าไปขืนใจ ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวมากน้อยเท่าใดที่ถูกเขากระทำย่ำยีจนต้องฆ่าตัวตาย หากวันนั้นเป็นข้า เจ้าเด็กนั่นคงไม่แค่แขนหักเป็นแน่!”
หมิ่นหรานไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน พลันมีสีหน้าฉงน “ประหลาดแท้ ไม่ใช่ว่าบุตรชายคนโตของต้าหลี่ซือผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิตคงแก่เรียนหรอกหรือ”
เฉาลู่เซียนแค่นเสียงออกมาเสียงหนึ่ง “ที่ไหนกันเล่า เด็กนั่นเบื้องหน้าวางตัวสง่างามมีคุณธรรม แต่เบื้องหลังชั่วช้าหาใดเปรียบ มิหนำซ้ำยังฉลาดหลักแหลมเลือกกระทำแต่กับชาวบ้านยากจน ผู้ใดจะกล้ามีปากมีเสียง บางครอบครัวแค่ได้รับเงินชดเชยเล็กน้อย ก็ปิดปากเงียบแล้ว” ยิ่งพูดลู่เซียนคล้ายจะยิ่งมีโทสะ
เถ้าแก่เฉายังเล่าต้นสายปลายเหตุ ที่ทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างตนกับหัวหน้าศาลต้าหลี่ให้เซี่ยหมิ่นหรานฟังอย่างละเอียด ที่แท้บุตรชายคนโตของต้าหลี่ซือผู้นั้นเคยลวนลามบุตรสาวของเถ้าแก่เฉา บุตรชายของเขาถึงได้ออกมาปกป้องน้องสาวจนมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
