#3
กฎหมายต้าหยวน ใครค้าเกลือเถื่อนต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง บางคนถึงขั้นถูกประหาร หรือต่อให้รอดการประหาร ก็ต้องถูกยึดทรัพย์ถูกเนรเทศไปเป็นนักโทษทำงานใช้แรงงาน สตรีในบ้านถูกขายเข้ากองอาลักษณ์ และถูกจำหน่ายต่อไปตามหอนางโลมหรือไม่ก็ขายไปหลังบ้านขุนนางใหญ่
คนเหล่านี้คิดเล่นงานเถ้าแก่เฉาถึงตาย เซี่ยหมิ่นหรานนั่งอยู่บนเกวียนท้ายขบวนมาตลอดหนึ่งเดือน ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกวียนเล่มท้ายสุดที่ถูกลากออกมานั้น ไม่ใช่เกวียนที่มาพร้อมขบวน
“นั่น เกลือจริงๆ ด้วย สมควรแล้ว” เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปในทางเลวร้าย “เถ้าแก่เฉา ถึงกับกล้าค้าเกลือเถื่อนเช่นนี้ ตระกูลคงจบสิ้นแน่”
นายกองตู้กลับมามีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องดังเดิมพลางตะโกนบอกชาวบ้าน
“พวกเจ้าเห็นกันแล้วใช่หรือไม่ มือปราบอย่างข้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เคยใส่ร้ายคนดี ครานี้คงเห็นกับตาแล้วกระมัง”
เซี่ยหมิ่นหรานไม่ได้สนใจเสียงของเขา เดินตรงไปคุกเข่าข้างหนึ่ง คีบเกลือที่อยู่บนกระสอบมาชิมดู จากนั้น เดินต่อไปยังเกวียน
“นั่นเจ้าจะทำอันใด!” มือปราบสองคนรีบเข้ามาขวาง แต่ถูกนายกองตู้โบกมือห้าม “ปล่อยให้นางเข้าไป” ในสายตาของตู้คังนั้น มองว่าเซี่ยหมิ่นหรานเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ย่อมไม่มีใจคิดหวาดกลัวต่อนาง
สองมือปราบยอมเปิดทางให้หย่าโถวน้อยเข้าไป บริเวณโดยรอบเกิดความเงียบขึ้นอีกครา ทุกสายตาต่างจับจ้องมายังคนเพียงคนเดียว
หมิ่นหรานราวกับไม่รู้ถึงสายตาผู้อื่น ค่อยๆ เยื้องย่างตรงไปยังเกวียนที่ว่าด้วยท่าทางไม่เร่งไม่ร้อน นางหยิบผ้าคลุมที่ปักตราสัญลักษณ์ของสกุลเฉาขึ้นมาดูเป็นอย่างแรก จากนั้นเดินวนรอบเกวียนไปมาสองรอบ เสร็จแล้วถึงได้หมุนตัวกลับมามองไปยังคนงาน จริงดังคาด มีคนงานเพิ่มมาอีกหนึ่ง
“เจ้าดูเสร็จหรือยัง เห็นหรือไม่ว่าข้ามีหลักฐาน” ตู้คังตะโกนถาม น้ำเสียงไม่ได้ตะคอกตวาดเหมือนคราแรก ออกจะฟังคล้ายกำลังสุนทรีราวกับคนชมงิ้วอยู่ด้วยซ้ำ
หมิ่นหรานเบือนหน้ามามอง เอ่ยเสียงเรียบว่า “เกวียนเล่มนี้ ไม่ใช่ของเถ้าแก่เฉา”
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่ชาวบ้านพลันดังขึ้นอีกครา
สีหน้ายินดีปรีดาของตู้คังค่อยๆ เลือนหาย หัวคิ้วสองข้างย่นเข้าหากัน มือข้างหนึ่งที่กำลังกอดอกกลับมาอยู่ที่ด้ามดาบดังเดิม แววตาดุดันจ้องเขม็งมาที่นางประหนึ่งต้องการข่มขู่
หากแต่การกระทำของเขา กลับไม่มีผลต่อนางเลยแม้แต่น้อย หมิ่นหรานยังคงเอ่ยต่อไปอย่างใจเย็น “ในเมื่อยังมีข้อสงสัย ท่านที่เป็นมือปราบ สมควรต้องเป็นผู้ทำการสอบสวนมิใช่หรือ จะได้ไม่พลาดพลั้งจับคนผิด ตอนนี้ข้าขอยืนยันว่าเกวียนเล่มนี้ไม่ใช่ของเถ้าแก่เฉา แล้วท่านจะว่าอย่างไร?”
เฉาลู่เซียนรีบผุดลุกขึ้นมาดู เขาทำตามนางทุกประการคือจับผ้าคลุมขึ้นมาพิจารณาเป็นอย่างแรก จากนั้นก้มๆ เงยๆ มองไปยังเกวียน เดินวนอีกสองรอบ ก่อนจะตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ใช่! ไม่ๆ เกวียนเล่มนี้ไม่ใช่ของข้า”
คำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านเริ่มเล็งเป้าไปยังคนของทางการ
บรรดามือปราบทั้งหลายมองหน้ากันไปมา วางสีหน้าไม่ถูก โดยเฉพาะท่านนายกอง
หมิ่นหรานชี้นิ้วไปยังชายผู้หนึ่ง ที่นั่งก้มหน้าอยู่ในกลุ่มคนงาน เอ่ยเสียงดังพอให้ทุกคนได้ยิน “คนผู้นั้น ไม่ใช่คนของเรา”
ทุกสายตาหันไปมองตามนิ้วมือของนาง เถ้าแก่เฉาพึ่งจะสังเกตเห็นเช่นกัน คนงานที่นั่งอยู่กลุ่มเดียวกัน พากันขยับออกห่าง ยิ่งเปิดทางให้ผู้คนเห็นชายผู้นั้นได้ชัดขึ้น
คนผู้นี้สวมชุดผ้าป่านสีเปลือกไข่คล้ายคนงานของเถ้าแก่เฉาทุกประการ หากไม่ใช่คนที่ร่วมขบวนด้วยกันมาคงจะแยกไม่ออก
“ที่แท้ มีคนคิดใส่ร้ายข้า! ไม่เพียงปลอมแปลงผ้าคลุมสินค้า ยังสวมชุดคนงานของข้า นำเกวียนขนเกลือมาต่อท้ายแถว แต่ที่ข้าไม่กระจ่างก็คือ ทหารเฝ้าประตูยังค้นไปไม่ถึงด้วยซ้ำ แล้วมือปราบอย่างพวกท่านรู้ได้อย่างไร!” เฉาลู่เซียนเอ่ยถามนายกองตู้อย่างมีโทสะ
ตู้คังตวาดกลับมาทันควัน “เจ้าพูดว่าไม่ใช่ แล้วข้าต้องเชื่อด้วยหรือ? เห็นอยู่ ว่าผ้าคลุมมีตราสัญลักษณ์ของเจ้า เกวียนก็อยู่ในขบวนเจ้า คนงานก็สวมชุดเดียวกับคนงานของเจ้า เจ้าจะบอกว่าไม่ใช่ได้อย่างไร”
นายกองตู้ยังคิดรวบรัดตัดความ หันไปสั่งลูกน้อง “พวกเจ้าจับกุมคนพวกนี้ไปศาลต้าหลี่ให้หมด!”
บรรดามือปราบที่เหลือทำท่าจะกรูกันเข้ามาจับคน
ฝ่ามือของเฉาลู่เซียนกำเป็นหมัด มาถึงตอนนี้ ชัดเจนแล้ว ว่ามีคนต้องการให้เขาตาย ต่อให้พูดอะไรไป มือปราบพวกนี้ก็ไม่มีทางฟัง ในใจทั้งแค้นเคืองทั้งหมดอาลัยตายอยาก
“ช้าก่อน!” เสียงนุ่มนวลทว่าทรงอำนาจดังขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของบรรดามือปราบพากันหยุดชะงัก
หมิ่นหรานก้าวขึ้นหน้ามาครึ่งก้าวด้วยแผ่นหลังตั้งตรง ราวกับคนที่มีอำนาจมาแต่กำเนิด มองประเมินสีหน้าของมือปราบที่รุมล้อมเข้ามาปราดหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับไปจ้องนายกองตู้ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ใต้เท้า ท่านคิดรังแกชาวบ้านหรือ? มีพยานกว่าสามสิบปาก ที่สามารถยืนยันได้ว่าเกวียนเล่มนี้ไม่ใช่เกวียนที่ร่วมขบวนมาพร้อมกับพวกเรา ท่านไม่ลงมือสอบสวนที่มาที่ไป ก็คิดจับคน ไม่กลัวว่าจะถูกผู้คนประณามหรือไร เมื่อครู่ท่านพึ่งจะกล่าวว่า พวกท่านทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ถึงชั่วยาม กลับคำแล้วหรือ?”
