ตอนที่ 4 [คืนหลอนนอนเรือนหอ]
เรือนหอผีสิง
ตอนที่ 4
[คืนหลอนนอนเรือนหอ]
หญิงสาวนั่งรอผู้เป็นผัวอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน
หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อรู้ว่าผู้เป็นผัวกลับมาแล้ว ครู่หนึ่งไอ้พงษ์ก็เดินเข้ามาในห้อง เมื่อไอ้พงษ์ได้เห็นสีหน้าผู้เป็นเมีย ก็รู้สึกแปลกใจ
“เป็นอะไรเหรอทิพย์ ทำไมทำหน้าตาตื่น เหมือนถูกผีหลอกเลย”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงเหมือนคนลากอะไรอยู่ในห้องข้าง ๆ”
“อะไรนะ! คนที่ไหนจะมาลากอะไรในห้อง ไหนลองเล่าให้พี่ฟังสิ”
“หลังจากที่พี่ออกไปแล้ว ฉันก็ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วผล็อยหลับไป แต่มารู้สึกตัวสะดุ้งตื่นตอนที่ได้ยินเสียงเหมือนคนลากอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนอนข้าง ๆ”
“ทิพย์ฝันไปรึเปล่า”
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าฝันไป แต่พอตื่นมาก็ยังได้ยินอีก ฉันเลยตัดสินใจเดินออกไปดู แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากโซ่ตรวน”
“อืม…มันยังไงกันแน่ หรือว่าจะมีพวกหัวขโมยมาขึ้นบ้านเรา ปะ พาพี่ไปดูสิ” พูดจบไอ้พงษ์ก็คว้าแขนผู้เป็นเมียจูงออกจากห้องไป เมื่อเดินไปถึงไอัพงษ์ก็เปิดประตูแล้วเดินนำหน้าเข้าไปในห้อง โดยมีน้ำทิพย์เดินตามหลังเข้าไปติด ๆ
ไอ้พงษ์เดินไปยืนตรงกลางห้องแล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ทันใดนั้นสายตาคู่นั้นก็เหลือบไปเห็นโซ่ตรวนเส้นใหญ่วางอยู่ที่มุมห้อง ไอ้พงษ์รีบเดินเข้าไปดูด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหยิบโซ่ตรวนขึ้นมาดู
“เนี่ยเหรอทิพย์ โซ่เส้นนี้ใช่ไหม”
“ใช่พี่…แต่ตอนที่ฉันเห็นมันไม่ได้วางอยู่ตรงนี้นะ มันอยู่ตรงมุมห้องโน่น”
“อ้าว! ถัามันอยู่ตรงโน้น แล้วมันจะมาอยู่ตรงมุมห้องนี้ได้ไง พี่ว่าทิพย์หิวข้าวจนหูอื้อตาลายแล้วละ” ไอ้พงษ์เอ่ยก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ แต่ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้น้ำทิพย์มีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิม
“ไม่เห็นจะน่าขำเลยพี่ ฉันยังไม่แก่เลยนะพี่ไม่เชื่อก็ตามใจ ฉันไม่อยากพูดกับพี่แล้ว ไปกินข้าวดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยเสียงขุ่นออกมาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเดินหน้างอกลับไปห้อง
ไอ้พงษ์เห็นว่าผู้เป็นเมียไม่พอใจ จึงรีบวิ่งตามไปง้อ ทันทีที่วิ่งมาถึง ชายหนุ่มก็รีบหยิบถุงใส่ข้าวกล่องออกมาวางบนโต๊ะ
“มา ๆ กินข้าวกันดีกว่า นี่ไงพี่ซื้อข้าวผัดกะเพรากับขนมมาให้ด้วย” ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนจะหยิบข้าวกล่องและห่อขนมออกมาวาง
ทั้งสองพากันนั่งกินข้าวแล้วต่อด้วยขนมอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิว หลังจากกินข้าวกันอิ่มแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันจัดของต่อ
ทั้งสองเร่งจัดของกันจนทำให้น้ำทิพย์ลืมเรื่องเสียงประหลาดที่ได้ยิน พวกเขาพากันเร่งจัดของเพลินไปเรื่อยจนลืมดูเวลา
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงหกโมงเย็น ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาแทนที่
บรรยากาศของบ้านที่อยู่ท่ามกลางสวนผลไม้ที่ยืนต้นสูงตระหง่านปกคลุมไปทั่ว ทำให้บรรยากาศบริเวณบ้านมองดูมืดครึ้มไปทั่วราวกับตอนกลางคืน
“พี่พงษ์นี่มันจะมืดแล้วนี่ ฉันลืมดูเวลา”
“เออ…แต่นี่มันเพิ่งแค่หกโมงกว่าเองนะ ทำไมมันมืดขนาดนี้”
“สงสัยเป็นเพราะบ้านมันอยู่กลางสวน เลยทำให้มองดูมืดผิดปกติ”
“ปะ งั้นกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้มาจัดต่ออีกหน่อยก็เสร็จแล้ว” สิ้นคำผู้เป็นผัว น้ำทิพย์ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ก่อนจะเดินตามบันไดลงไปขัางล่าง
ขณะที่สองคนกำลังเดินลงไป จู่ ๆ หูของไอ้พงษ์ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินตามหลังมา ไอ้พงษ์หยุดชะงัก แล้วรีบหันกลับไปมอง แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับความว่างเปล่า
‘เสียงใครเดินตามเรามาวะ หรือว่าเราจะหูฝาดไป’ ชายหนุ่มนึกอยู่ในใจ ก่อนจะเดินลงไปต่อ พวกเขาพากันเดินออกไปขึ้นรถก่อนจะขับออกจากบ้านไป ไม่นานรถก็แล่นมาถึงบ้าน เมื่อทั้งสองลงจากรถเดินเข้าไปในบ้าน ก็เห็นผู้เป็นพ่อกับน้องสาวนั่งรออยู่พอดี
“อ้าว! จัดเสร็จแล้วเหรอลูก”
“ยังไม่เสร็จเลยพ่อ ผมเห็นมันใกล้จะมืดแล้ว ก็เลยพากันกลับมาก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปจัดต่อ กะว่าพอจัดเสร็จก็จะพากันนอนที่นั่นเลย”
“เออ…พรุ่งนี้เป็นวันเข้าไปนอนคืนแรก เดี๋ยวพ่อกับยัยฟ้าจะไปนอนเป็นเพื่อน เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยบ้านใหม่”
“ดีเลยครับ จะได้ดูอบอุ่น เพราะผมสองคนก็ยังไม่ชินกับสถานที่บ้านใหม่ด้วยครับ”
“เออ…มาเหนื่อย ๆ พากันไปอาบน้ำเถอะ จะได้มากินข้าวกัน”
“ครับพ่อ”
หลังจากที่พวกเขาอาบน้ำกินข้าวกันเสร็จแล้ว ต่างก็พากันแยกย้ายไปนอน น้ำทิพย์นอนพลิกซ้ายพลิกขวาไปมา พยามยามข่มตาให้หลับ แต่ก็อดคิดถึงเสียงประหลาดที่เธอได้ยินที่บ้านกลางสวนไม่ได้ หญิงสาวนอนคิดทบทวน วกไปวนมาจนนอนไม่หลับ จึงหันไปเรียกผู้เป็นผัวที่กำลังนอนอยู่ข้าง ๆ
“พี่พงษ์…พี่พงษ์…หลับรึยัง”
ไอ้พงษ์ที่เคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับได้ยินเสียงผูัเป็นเมียเรียก จึงลืมตาขึ้นมาถาม
“กำลังจะหลับ เรียกพี่ทำไม”
“ฉันคิดถึงเรื่องที่เรือนหอ จนนอนไม่หลับ”
“มันมีอะไรเหรอ”
“เป็นไปได้ไหมว่า เสียงที่ฉันได้ยินมันอาจจะเป็นเสียงผี”
“ไปกันใหญ่แล้ว ผีเผอที่ไหน พี่ว่ามันน่าจะเป็นพวกขโมยมากกว่า”
“ถัาเป็นขโมยแล้วทำไมมันหนีไปไวจัง”
“พวกขโมยมันชำนาญเรื่องวิ่งหนี เราตามมันไม่ทันหรอก เลยไม่รู้ว่ามันหนีไปทางไหน”
“อืม…แต่มันไวมากเลยนะ เพราะตอนที่ฉันเข้าไปดูก็ไม่เห็นมันแล้ว”
“ต่อไปพวกเราต้องระวังตัว พวกนี้มันน่ากลัวมาก มาไวไปไว นอนกันเถอะ พี่ง่วงแล้ว”
“จ้ะพี่”
เสียงที่คุยกันอยู่เมื่อครู่ค่อย ๆ เงียบไป ด้วยความง่วงบวกกับความเหนื่อยล้า พวกเขาจึงผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
รุ่งเช้าวันต่อมา…
วันนี้ทุกคนตื่นกันแต่เช้า หลังจากกินข้าวกินปลากันแล้ว แพรฟ้าก็ออกไปสอนนักเรียน
ลุงพันธ์ุเดินออกมานั่งสูบยาอยู่ที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านตามประสาคนแก่เหมือนทุก ๆ วัน
ครู่หนึ่งไอ้พงษ์กับน้ำทิพย์ ก็พากันเดินออกมานั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นพ่อ
“วันนี้ไม่ไปบ้านโน้นกันเหรอลูก”
“ยังไม่ไปหรอกพ่อ รอยัยฟ้ากลับมาก่อนค่อยไปพร้อมกันทีเดียวเลย”
“เออ…ถ้างั้นก็รอยัยฟ้ากลับมาก่อน”
ตกเย็น พวกเขาทั้งหมดก็พากันไปที่บ้านกลางสวน
ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้
ไอ้พงษ์ลงจากรถได้ก็เดินไปไขกุญแจเปิดประตูบ้าน ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นไปชั้นบนเมื่อเดินขึ้นไปถึงห้องนอน ไอ้พงษ์ก็เปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง
“คืนนี้พ่อนอนห้องเดียวกับพวกผมเลยก็ได้ เพราะผมกับทิพย์ยังไม่ชินกับบ้านใหม่”
“เออ…ก็ดีเหมือนกัน บ้านมันหลังใหญ่เกิน บางทีก็ดูวังเวงเหมือนกัน”
“แหมพ่อ…พูดซะดูน่ากลัวเลย”
“ห้องน้ำอยู่ทางโน้นนะพ่อ เดี๋ยวปวดฉี่จะหาไม่เจออีก”
“เออ ๆ พ่อเห็นแล้ว”
พวกเขานั่งคุยกันไปเรื่อย เพราะเห็นว่าตอนนี้ยังหัวค่ำอยู่
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงสามทุ่ม
ความเงียบเริ่มเข้ามาแทนที่ ตอนนี้มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ที่กรีดปีกร้องอยู่ตามกอหญ้าและต้นผลไม้แว่วมาตามสายลม ฝูงค้างคาวและนกกลางคืนเริ่มพากันออกมาหากินผลไม้สุกในสวน เสียงบินกันพรึ่บพรั่บเต็มไปหมด นกเค้าแมวสองตัวเกาะอยู่บนต้นขนุนที่ยืนตายพรายเหลือแต่ต้นกับกิ่ง ร้องฮึกฮือ ๆแว่วมาตามสายลมที่พัดมาเบา ๆ ฟังแล้วชวนขนลุกอย่างน่ากลัว
“พี่พงษ์ทำไมมันมีแต่เสียงอะไรก็ไม่รู้ร้องเต็มไปหมดเลย” แพรฟ้าเอ่ยถามพี่ชายขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“อ๋อ…เสียงค้างคาวกับสัตว์กลางคืน มันออกมาหากินผลไม้สุกกินแมลง บรรยากาศเลยเหมือนเราอยู่กลางป่า”
“จริง ๆ ฟ้าเองก็อยากได้สวนผลไม้มานานแล้ว แต่พอมาเจอแบบนี้ ฟ้าว่ามันดูวังเวงและน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้”
“ยัยฟ้าเอ็งอย่าพูดแบบนี้สิวะ เดี๋ยวทิพย์มันได้ยินก็กลัวตามอีก” ไอ้พงษ์เอ่ยเสียงเข้มดุน้องสาวเพราะกลัวผู้เป็นเมียได้ยิน
“ฟ้าไม่พูดก็ได้ ไปนอนดีกว่า” หญิงสาวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปล้มตัวลงนอน
“ดึกแล้ว…ปิดไฟนอนกันได้แล้วลูก พ่อง่วงแล้ว” ลุงพันธ์ุเอ่ยกับลูก ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความง่วง ไอ้พงษ์ได้ยินอย่างนั้น ก็ลุกขึ้นเดินไปปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน
ทุกคนต่างพากันนอนหลับใหลไปด้วยความง่วง ขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากห้องข้าง ๆ
ครืด!!! ครืด!!! ครืด!!!
ไอ้พงษ์ที่กำลังนอนหลับอยู่ ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก่อนจะเอียงหูฟัง
‘เสียงใครลากอะไรวะ ทำไมเสียงเหมือนคนลากโซ่ที่ทิพย์บอกเราเลย’ ชายหนุ่มนึกอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าลุกขึ้นไปดู น้ำทิพย์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตกใจตื่นขึ้นมาจึงรีบหันไปกระซิบถามผู้เป็นผัวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“พี่พงษ์…ได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
“อือ…ได้ยิน มันเหมือนเสียงคนเดินลากโซ่ตรวน อย่างที่ทิพย์บอกพี่เลย”
“ใช่พี่…เสียงเหมือนวันนั้นเลย”
“ทิพย์รออยู่ในห้องนะ เดี๋ยวพี่จะออกไปดู จะได้รู้ว่ามันเป็นผีหรือพวกหัวโขมย” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว ก่อนจะหยิบไฟฉายที่หัวเตียง
ไอ้พงษ์ค่อย ๆ ดึงลิ้นชักที่หัวเตียงเบา ๆ แล้วหยิบปืนพกขนาดจุดสามแปดออกมา ก่อนจะเหลือบไปมองผู้เป็นพ่อกับน้องสาวที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ ชายหนุ่มค่อย ๆ ย่องไปเปิดประตูอย่างช้า ๆ ก่อนจะย่องออกไปจากห้อง
เมื่อชายหนุ่มย่องไปถึง กำลังยกมือขึ้นจะเปิดประตู แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังแว่วออกมาจากด้านในห้อง ก่อนจะมีเสียงเหมือนคนเดินลากโซ่ตามมา
“ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!”
ครืด!!! ครืด!!! ครืด!!!
‘นั่นมันสียงคนหรือเสียงผีวะ’ ชายหนุ่มนึกอยู่ในใจ แต่ด้วยที่เขาเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้สักเท่าไหร่ จึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาทันที
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกมา เขาก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวผิวขาวผมยาวสลวย อยู่ชุดกระโปรงเดรสสีขาวกำลังยืนก้มหน้าอยู่ในความมืดสลัว ที่มีเพียงแสงสว่างจากไฟฉายในมือของเขาสาดส่องเข้าไป
“หยุดนะ! นางหัวโขมย อย่าคิดสู้นะ ฉันยิงจริง ๆ”
ชายหนุ่มยกปืนขึ้นเล็งไปยังร่างปริศนาด้วยอาการมือไม้สั่น มือที่ถือไฟฉายและปืนเริ่มสั่นระริก หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ด้วยอาการหวาดกลัว
เมื่อเขาจ้องมองชัด ๆ อีกที ก็เห็นว่าขาทั้งสองข้างของเธอมีโซ่ตรวนล่ามอยู่ด้วย เมื่อชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็นึกถึงโซ่ตรวนที่เขาเห็นเมื่อวาน จึงสาดส่องไฟฉายไปยังมุมห้องที่เห็นโซ่วางอยู่ แต่แล้วเขาก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อโซ่ตรวนที่วางอยู่ตรงมุมห้องได้หายไปแล้ว
“เฮ้ย! มันหายไปไหนวะ” ไอ้พงษ์อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนจะหันมามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ แต่ทว่า ร่างนั้นได้หายไปแล้วไอ้พงษ์รู้ได้ทันทีว่า สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ ต้องไม่ใช่คนแน่นอน จึงรีบหันหลังวิ่งกลับไปยังห้องด้วยอาการหวาดกลัว ทันทีที่เข้าไปในห้อง ชายหนุ่มก็รีบเปิดสวิตช์ไฟทุกดวงจนสว่างจ้าไปทั้งห้อง ทุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามาในห้องก็ตกใจสะดุ้งตื่น
“อ้าว! นี่เอ็งวิ่งหนีอะไรมาวะไอ้พงษ์”ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามออกมาอย่างแปลกใจ
“ผีพ่อ! ผมถูกผีหลอก”
“ผีอะไร! ผีที่ไหนพี่!” แพรฟ้าเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ไอ้พงษ์นิ่งเงียบไม่ตอบ ได้แต่นั่งเนื้อตัวสั่นเทา สีหน้าและแววตาของมันบ่งบอกถึงอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็น ๆ พี่ บอกมาสิ ใช่ผีจริง ๆ รึเปล่า พี่ไม่ได้ตาฝาดแน่นะ” น้ำทิพย์เอ่ยถามผู้เป็นผัวก่อนจะเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างไว้
“ผีจริง ๆ ผีผู้หญิง เขาถูกโซ่ตรวนล่ามขาไว้ โซ่ตรวนที่เราสองคนเห็นนั่นแหละ มันหายไปแล้ว แต่มันไปอยู่ที่ขาผู้หญิงคนนั้น”
“จริงเหรอวะ…ลองไปดูอีกสิ ถ้ามันเป็นผีจริง ๆ ก็คงไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว แต่ถ้าเป็นคนก็คงอยู่ในห้องนั่นแหละ” ลุงพันธ์เอ่ยกับลูกชายก่อนจะหยิบไฟฉายแล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าออกไปจากห้อง
“พ่อ! พ่อจะไปคนเดียวเหรอ เดี๋ยวพวกเราไปด้วย”
พวกเขารีบลุกขึ้น ก่อนจะพากันวิ่งตามผู้เป็นพ่อไปด้วยความเป็นห่วง
