บทย่อ
เมื่อชายหนุ่มกับหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านร้างราคาหลายล้านที่ผู้เป็นพ่อซื้อให้เป็นเรือนหอ แต่อยู่ได้แค่คืนเดียวก็ต้องย้ายออกมา เพราะวิญญาณมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านหลังนั้น
ตอนที่1[ไปเรียนต่อ]
เรือนหอผีสิง
ตอนที่ 1
[ไปเรียนต่อ]
หมู่บ้านเนินไผ่สูง เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ผู้ใหญ่เชียร แต่งงานอยู่กินกับ นางมะลิ ผู้เป็นภรรยา จนมีบุตรชายด้วยกันสองคน คนโตชื่อ ธนชาติ คนเล็กชื่อ ธนชัย
ผู้ใหญ่เชียรแต่งงานอยู่กินกับนางมะลิจนลูกชายคนโตอายุได้สิบขวบ นางมะลิก็เกิดล้มป่วยด้วยโรคร้ายจนเสียชีวิต
การจากไปของนางมะลิ ทำให้ผู้ใหญ่เชียรกับลูก ๆ ต่างพากันเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่นางมะลิเสียชีวิตไปแล้ว ผู้ใหญ่เชียรผู้เป็นพ่อ จึงต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองคนเรื่อยมาจนโตเป็นหนุ่ม
ครอบครัวของผู้ใหญ่เชียร เป็นครอบครัวที่มีฐานะดีพอสมควร เพราะได้รับมรดกเรือกสวนไร่นาตกทอดมาจากผูัเป็นพ่อแม่
ธนชาติบุตรชายคนโต นั้นเป็นคนรักการเรียนและอยากเป็นตำรวจ หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ธนชาติจึงขอผู้เป็นพ่อไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ
ผู้ใหญ่เชียรเห็นว่าลูกชายมีความมุ่งมั่นในการเรียนก็ไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด
ส่วนธนชัยบุตรชายคนเล็กนั้น เป็นคนที่ไม่ชอบการเรียน หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ออกมาช่วยผู้เป็นพ่อทำไร่ทำนา
ธนชาตินั้นตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ เพราะต้องการจะไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ
สี่ปีต่อมา
หลังจากที่ธนชาติเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ก็เดินทางกลับมาบ้าน
บัณฑิตหนุ่มจากรั้วมหาวิทยาลัย ลงจากรถประจำทาง สะพายกระเป๋าเป้เดินเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจ
ธนชัยนั่งอยู่หน้าบ้านเหลือบไปเห็นพี่ชายเดินมา ก็รีบตะโกนบอกผู้เป็นพ่อที่อยู่ในบ้าน
“พ่อ! พ่อ! พี่ชาติกลับมาแล้ว”
ผู้เป็นพ่อได้ยินก็รีบวิ่งออกมาดูด้วยความดีใจ
“ไอ้ชาติลูกพ่อกลับมาแล้ว” ผู้เป็นพ่อวิ่งโผเข้าไปกอดลูกชายด้วยความดีใจ น้ำใส ๆ เอ่อคลอไหลออกมาอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว
“พ่อดีใจมากเลย พ่อรอวันนี้มานาน ในที่สุดลูกพ่อก็กลับมา”
“ผมก็ดีใจครับ ที่ทำได้สำเร็จ วันนี้ผมกลับมาอยู่กับพ่อแล้วครับ”
“แล้วอีกนานไหมลูกกว่าจะได้ไปรับใบปริญญา”
“ก็อีกประมาณปีสองปีครับพ่อ”
“อ๋อ…นานเหมือนกันนะ”
“ผมว่าก็ดีนะครับผมจะได้พักสมองบ้าง หมกมุ่นอยู่แต่กับการเรียนมาหลายปีแล้ว”
“สู้ฉันไม่ได้ทำไร่ทำนาสบายกว่าไม่ต้องใช้สมองเลย” ธนชัยเอ่ย พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ก็เอ็งมันขี้เกียจเรียนนี่หว่า ไม่เหมือนไอ้ชาติ มันอยากเป็นเจ้าคนนายคน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยกับไอ้ชัย
“ก็ผมไม่ชอบทำงานแบบนั้นนี่ ผมว่างานแบบนั้นมันไม่ค่อยเหมาะกับผม”
“เออ ๆ พ่อรู้เอ็งมันชอบอยู่ตามไร่ตามนา”
“เอาละ…มาเหนื่อย ๆ ไปอาบน้ำอาบท่าเลยลูก จะได้มากินข้าวกินปลากัน”
“ครับพ่อ”
ธนชาติลุกขึ้นเดินเอากระเป๋าไปเก็บในห้องก่อนจะเดินไปอาบน้ำ
หลังจากอาบน้ำกินข้าวกินปลากันแล้วพวกเขาก็ออกมานั่งเล่นที่ห้องรับแขก
“พ่อมีเรื่องจะคุยกับลูกหน่อย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยกับลูกชายก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดไฟสูบ
“พ่อมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“อีกตั้งสองปี กว่าจะถึงวันไปรับปริญญาพ่อว่าเอ็งไม่ต้องอยู่ทำงานช่วยพ่อหรอก”
“อ้าว! แล้วพ่อจะให้ผมไปไหนล่ะ”
“พ่อว่าจะให้เอ็งบวช เพราะถ้ารับปริญญาแล้วก็ต้องไปเรียนต่ออีก พ่อกลัวว่าเอ็งจะไม่มีเวลาบวชให้พ่อ”
“ก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็อยากบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เหมือนกัน แม่จากไปตั้งนานแล้วผมยังไม่ได้บวชให้แม่เลย”
“ถ้างั้น…พรุ่งนี้พ่อจะพาไปปรึกษาหลวงปู่ จะได้หาฤกษ์หายามบวชให้เลย”
“ดีเหมือนกันพ่อ ผมจะได้ไปทำบุญถวายสังฆทานและถือโอกาสไปกราบหลวงปู่ด้วย”
“ดี ๆ ลูก จะได้ไปทำบุญพร้อมกัน”
สามคนพ่อลูกนั่งคุยกันตามประสาพ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันมานาน
รุ่งเช้าวันต่อมา
วันนี้พวกเขารีบตื่นกันแต่เช้ามาหุงข้าวหุงปลาเตรียมตัวไปวัด
หลังจากเตรียมอาหารหวานคาวเรียบร้อยพวกเขาก็พากันเดินไปขึ้นรถก่อนจะขับออกจากบ้านไป
ธนชาติขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่นานมาถึงวัด พวกเขาถือของลงจากรถ ก่อนจะพากันเดินขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ
เมื่อเดินขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ ก็เห็นหลวงปู่สิงห์กำลังนั่งอยู่พอดี
ทั้งสามพากันเข้าไปนั่งลงก้มกราบหลวงปู่สิงห์พร้อมกัน
“เจริญพรโยม…มากันแต่เช้าเลย นี่กลับมาเมื่อไหร่ล่ะ” หลวงปู่สิงห์เอ่ยถามธนชาติด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
“มาเมื่อวานครับหลวงปู่”
“เรียนจบแล้วเหรอ”
“จบแล้วครับ”
“อืม…เก่งนะ เห็นโยมผู้ใหญ่บอกว่าจะไปเรียนตำรวจต่ออีกใช่มั้ย”
“ใช่ครับ…ต้องหลังจากรับปริญญาแล้วถึงจะไปเรียนต่อครับ”
“ก็ดีนะ จะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง”
“ครับหลวงปู่”
“แล้วที่พากันมาวันนี้มีธุระอะไรรึเปล่า”
“ที่ผมมาวันนี้ ก็ว่าจะมาปรึกษาหลวงปู่เรื่องบวชให้ไอ้ชาติมันครับ” ผู้ใหญ่เชียรเอ่ย
“อ๋อ…จะบวชให้ลูกเหรอ งัันก็ดีเลย จะได้ศึกษาธรรมมะ นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา ทำจิตใจให้สงบ จะได้พักผ่อนร่างกายทั้งสมองและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน”
“ครับหลวงปู่…วันนี้ผมอยากให้หลวงปู่ช่วยดูฤกษ์ดูยามวันบวชให้เลยครับ”
“ได้ ๆ โยม”
“พ่อ…ผมว่าถวายภัตตาหารกับสังฆทานก่อนดีกว่า สายแล้วเดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเช้า” ธนชาติหันไปกระซิบเบา ๆ กับผู้เป็นพ่อ
“เออ…พ่อก็มัวแต่คุย จนลืมสนิทเลย”
พวกเขาจึงพากันถวายภัตตาหารและสังฆทานให้หลวงปู่ ก่อนจะพากันออกไปนั่งรอให้หลวงปู่ฉัน
หลังจากหลวงปู่ฉันเสร็จ พวกเขาก็พากันกรวดน้ำรับพร ก่อนที่หลวงปู่จะดูฤกษ์ยามให้
เมื่อได้ฤกษ์ยามวันบวชแล้ว พวกเขาก็พากันกราบลาหลวงปู่
สามวันต่อมา
ผู้ใหญ่เชียรก็จัดงานบวชให้ธนชาติ งานบวชถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โต
เพราะเป็นงานบวชของลูกชายผู้ใหญ่บ้านเนินไผ่สูง จึงมีบรรดาแขกเหรื่อมาร่วมงานกันอย่างมากมาย
หลังจากที่ธนชาติบวชแล้ว ก็จำพรรษาอยู่ที่วัดเนินไผ่สูงเรื่อยมา
ตลอดระยะเวลาที่บวชอยู่ที่วัดเนินไผ่สูง พระธนชาติก็ปฏิบัติตัวอยู่ในศีลในธรรม ตั้งใจศึกษาธรรมมะ นั่งสมาธิสวดมนต์ภาวนาอยู่เป็นประจำ จนเป็นที่ชื่นชอบของหลวงปู่สิงห์ที่เป็นเจ้าอาวาสและพระเณรในวัดเป็นอย่างดี
ในระหว่างที่บวชอยู่ที่วัด พระชาติก็ได้เฝ้าปรนนิบัติดูแลหลวงปู่สิงห์มิเคยขาด
หลวงปู่เห็นว่าพระชาติ เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในศีลในธรรม จึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมและเวทย์มนต์ต่าง ๆ ให้จนหมดสิ้น ทำให้พระชาติเป็นพระที่มีวิชาอาคมแก่กล้า
ธนชาติบวชเรียนอยู่ที่วัดเนินไผ่สูงนานถึงสองพรรษา จึงได้กราบเรียนกับหลวงปู่ว่าจะขอลาสิขาบทไปรับปริญญาเพื่อไปเรียนต่อ
เมื่อหลวงปู่ได้ทราบถึงเจตนาของพระชาติท่านก็มิได้ขัดข้องแต่อย่างใด
รุ่งเช้าวันต่อมา
ผู้ใหญ่เชียรกับธนชัยก็รีบไปวัดกันแต่เช้า เพราะรู้ว่าพระชาติจะสึก
“สึกไปแล้ว มีเวลาว่างก็อย่าลืมมาหาหลวงปู่บ้างนะ”
“ครับหลวงปู่”
“ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆารวาส ก็ให้หมั่นสร้างความดี ทำบุญทำทาน วิชาอาคมที่เรียนไป ก็นำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร เอาไปช่วยเหลือผูัคนและสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก”
“ครับหลวงปู่…ผมจะจำคำหลวงปู่ไว้ครับ”
“มา…มา…เข้ามาใกล้ ๆ เดี๋ยวหลวงปู่จะพรมน้ำมนต์ให้”
พวกเขาได้ยินที่หลวงปู่บอก ก็รีบพากันเข้าไปหมอบให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้
หลังจากพรมน้ำมนต์เสร็จ พวกเขาสามคนก็พากันกราบลาหลวงปู่
รุ่งเช้าวันต่อมา
หลังจากกินข้าวกันแล้ว ผู้ใหญ่เชียรก็ออกมานั่งสูบยาอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเก่าที่หน้าบ้านเหมือนทุก ๆ วัน
ธนชาติเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยกับผู้เป็นพ่อ
“พ่อพรุ่งนี้ผมจะไปรับปริญญาแล้วนะ พ่อจะไปกับผมรึเปล่า”
“ไปสิ…งานรับปริญญาของลูกทั้งทีพ่อไม่ไปได้ไง”
“ใช่พี่…ฉันก็จะไปกับพี่ด้วย” ไอ้ชัยพูดจบก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ
รุ่งเช้าวันต่อมา
พวกเขาก็ออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ กันแต่เช้า เพราะต้องไปนอนพักที่กรุงเทพฯ ก่อนหนึ่งคืน ตอนเช้าถึงจะไปรับปริญญา
เมื่อไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว พวกเขาก็ไปหาที่พัก หลังจากได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็พากันนอนพักผ่อน เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางกันมาทั้งวัน
รุ่งเช้าวันต่อมา
วันนี้พวกเขารีบตื่นกันแต่เช้า เตรียมอาบน้ำแต่งตัว แต่วันนี้ดูเหมือนว่าธนชาติจะดูตื่นเต้นดีใจกว่าใคร ๆ เพราะเป็นวันที่เขาจะได้รับปริญญา
“เสร็จกันหรือยัง วันนี้เป็นวันรับปริญญาต้องรีบไปหน่อยนะ เพราะรถเยอะ ถ้าไปสายรถจะติด” ธนชาติเอ่ย ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่า
“เรียบร้อยแล้วไปกันเถอะ” สิ้นคำผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มก็เดินนำหน้าออกไปขึ้นรถ ก่อนจะขับออกจากบ้านไป
ธนชาติขับรถไปเรื่อย ๆ ไม่นานมาถึงที่รับปริญญา
วันนี้ทั้งรถและคนเยอะมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันงานที่คนเดินทางมารับปริญญา
หลังจากที่รับปริญญาเรียบร้อย บรรดาพ่อแม่และญาติพี่น้องต่างมาร่วมแสดงความยินดีและมาร่วมถ่ายรูปกับบัณฑิตใหม่
“เรียบร้อยแล้วพ่อ ผมได้ใบปริญญามาให้พ่อแล้ว ดีใจมั้ยครับ”
“ดีใจสิ นี่แหละคือความต้องการของคนเป็นพ่อแม่ ที่ได้เห็นลูกประสบความสำเร็จ”
“ครับพ่อ…ผมก็ดีใจและภูมิใจที่มีวันนี้”
“ใช่พี่…อย่างน้อยบ้านเราก็มีพี่นี่แหละที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัวเรา” ธนชัยเอ่ยกับพี่ชายแล้วยิ้มเต็มหน้าอย่างดีใจ
“ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอก เอ็งก็เก่งเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้จบปริญญาแต่ก็อยู่ดูแลพ่อเป็นอย่างดี พ่อเขาก็ภูมิใจในตัวเอ็งเหมือนกัน”
“เออ ๆ ใช่ พ่อก็ภูมิใจในตัวลูกทั้งสองคนเท่ากันแหละ”
“ปะ กลับกันเถอะ จะได้ไปเตรียมตัวกลับบ้านเรา” ธนชาติพูดจบก็เดินนำหน้าไปยังลานจอดรถ ก่อนจะขับออกไป
หลังจากมาถึงห้องพัก พวกเขาก็พากันเก็บของ เพราะรุ่งเช้าจะต้องเดินทางกลับบ้าน
รุ่งเช้าวันต่อมา
พวกเขาก็ออกเดินทางกลับบ้านกันแต่เช้า ธนชาติขับรถฟอร์จูนเนอร์สีดำคู่ใจไปเรื่อย แต่กว่าจะมาถึงบ้านก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยพอดี
หลังจากอาบน้ำกินข้าวกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปนอน เพราะต่างก็เหนื่อยล้าจากการเดินทางกันมาทั้งวัน
ธนชาติพักอยู่สองสามวันก็เดินทางไปสมัครสอบที่โรงเรียนนายร้อย
การไปเรียนนายร้อยตำรวจของเขาในครั้งนี้ ต้องใช้เวลานานถึงสองปีกว่าจะเรียนจบ

