บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 [คืนวิญญาณหลอน]

เรือนหอผีสิง

ตอนที่ 5

[คืนวิญญาณหลอน]

เมื่อทุกคนเดินไปถึง ก็เห็นว่าประตูห้องยังคงเปิดอ้าอยู่

ลุงพันธ์ุรีบเปิดประตูห้องออกมา ก่อนจะสาดส่องไฟฉายเข้าไปข้างใน แต่แล้วก็ต้องพบกับความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียว มีเพียงโซ่ตรวนที่วางกองอยู่ตรงมุมห้อง

“ไหนล่ะ ผีที่เอ็งว่า พ่อไม่เห็นมีอะไรเลย เห็นแค่โซ่ตรวนวางอยู่ตรงมุมห้องโน่น”

เมื่อไอ้พงษ์ได้ยินอย่างนั้น ก็เดินเข้าไปเปิดสวิตช์ไฟ แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แต่เขาก็พบกับความว่างเปล่า เพราะร่างของหญิงสาวที่เขาเห็นอยู่เมื่อครู่ได้หายไปแล้ว

“หายไปแล้ว ไม่มีจริง ๆ แต่ผมจำได้ โซ่ตรวนเส้นนี้แหละที่ล่ามขาผู้หญิงคนนั้นไว้”

“เป็นไปได้ไหมว่ามีคนเข้ามาช่วยเธอหนีไปแล้ว” แพรฟ้าเอ่ยกับทุกคนก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบ ๆ ห้อง

“มันไม่มีใครมาช่วยหรอกฟ้า เมื่อวานพี่กับทิพย์ก็ได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ แบบนี้แหละ แต่ไม่เห็นมีคนเลย”

“จริงเหรอพี่”

“ใช่! ตอนที่เราจะกลับบ้าน พี่พงษ์ก็ได้ยินเสียงคนเดินตามหลังมาด้วย แต่พอหันกลับไปดูก็ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“ถ้ายังงั้น แสดงว่าบ้านหลังนี้มีผีจริง ๆ”

“ผมก็กำลังคิดเหมือนพ่อนั่นแหละ”

“ถ้างั้น…เรารีบกลับไปที่ห้องกันดีกว่า” ลุงพันธ์ุเอ่ยกับลูก ๆ ก่อนจะเดินนำหน้ากลับไปห้องด้วยอาการหวาดกลัว เมื่อเดินไปถึงห้อง ทุกคนต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวไปตาม ๆ กัน

“ผมว่าบ้านหลังนี้ต้องเป็นบ้านผีสิงแน่เลย” ไอ้พงษ์เอ่ยกับผู้เป็นพ่อก่อนจะเอาปืนวางไว้บนหัวเตียง

“ใช่! มิน่าเสี่ยดำรงค์มันถึงอยู่ไม่ได้”

“เจอแบบนี้ ผมคงไม่กล้าอยู่แล้วละพ่อ พรุ่งนี้ผมจะมาขนของกลับ”

“ใช่พี่…ฉันก็ไม่อยู่แล้ว ใครจะอยู่ก็อยู่เถอะ ไม่เอาแล้ว”

“นี่แสดงว่า ที่เสี่ยดำรงค์มันอยู่ไม่ได้จนต้องหนีกลับไปอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะพวกมันถูกผีหลอกนี่เอง” ลุงพันธ์ุเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ใช่พ่อ…แต่ทำไมมันต้องมาหลอกขายบ้านผีสิงให้เราด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีผี”

“เราจะไปโทษเขาไม่ได้หรอก คนขายเขาก็อยากขาย พวกเราต่างหากที่รีบซื้อ ไม่ยอมสืบประวัติความเป็นมาของบ้านให้ดีก่อน”

“แบบนี้เราไปบอกเสี่ยดำรงค์แล้วขายบ้านให้เขาคืนได้ไหมพ่อ” แพรฟ้าได้ยินอย่างนั้น จึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง

“ไม่ได้หรอกลูก เสี่ยดำรงค์มันเป็นพวกมีอิทธิพล ขืนไปพูดกับมันมาก จะพลอยเดือดร้อนกันเปล่า ๆ”

“เฮ้อ! เวรกรรมจริง ๆ ดู ๆไปบ้านหลังนี้มันก็ดูลึกลับซับซ้อนเหมือนกันนะพ่อ”

“ลึกลับยังไงวะ”

“ก็มันหลังใหญ่ มีห้องนอนเยอะผิดปกติ โดยเฉพาะชั้นล่างมีห้องนอนใหญ่ ๆ ตั้งสามสี่ห้อง แถมดันมาปลูกไว้กลางสวนผลไม้อีก”

“ใช่! พี่พงษ์พูดถูก ขนาดมองมาจากข้างนอก ยังมองไม่เห็นบ้านเลย” น้ำทิพย์เอ่ยกับผู้เป็นผัวด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“เออ…จริงด้วย”

ไอ้พงษ์เหลือบดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้เป็นพ่อ

“นี่มันตีสามแล้วพ่อ ผมว่าคืนนี้พวกเราคงนอนไม่หลับกันแล้วละ”

“เจอแบบนี้ ใครจะไปนอนหลับละพี่”

ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงคนทะเลาะกันดังขึ้นมาจากข้างนอก

“พี่พงษ์! เสียงคนทะเลาะกัน” น้ำทิพย์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ ก่อนจะกระโดดเข้าไปกอดผู้เป็นผัวไว้แน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยอาการหวาดกลัว

พวกเขารีบเขยิบเข้ามากองรวมกันอยู่กลางห้อง สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นก็มีเสียงทะเลาะกันดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันดังชัดขึ้นกว่าเดิม

“มึงมันอยากรนหาที่เอง ถ้ามึงยอมทำตามที่เขาต้องการ ก็ไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้หรอก”

“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ฉันให้สัญญา”

“กูปล่อยมึงไปไม่ได้หรอก จนกว่ามึงจะยอมทำตามคำสั่งกู”

“ฉันจะไม่ทำตามใครทั้งนั้น ฉันยอมตายดีกว่า”

“มึงอยากเจ็บตัวอีกใช่ไหม ก็ได้”

สิ้นเสียงชายปริศนา ก็มีเสียงเหมือนคนกำลังทุบตีทำร้ายกัน ระคนกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาด้วยความเจ็บปวดทรมาน

“พ่อนั่นมันเสียงผู้หญิงกำลังถูกทำร้ายนี่ เราต้องไปช่วยเขานะ” แพรฟ้าเอ่ยกับผู้เป็นพ่อด้วยอาการร้อนรน

“เออ…พ่อได้ยินแล้ว กลางค่ำกลางคืนทีหลังอย่าไปทักอะไรแบบนี้อีกนะ มันไม่ดี”

“ค่ะพ่อ แล้วพ่อจะไม่ไปช่วยเขาเหรอ”

“จะไปช่วยยังไงละ ก็มันไม่ใช่คน นั่นมันเสียงผี”

“อะไรนะเสียงผีเหรอพ่อ!” ไอ้พงษ์อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

“ใช่…มันคือเสียงผี เสียงวิญญาณของคนที่ตายในบ้านหลังนี้”

เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่พากันนั่งเงียบด้วยความกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงที่ทะเลาะกันกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ดังอยู่เมื่อครู่ก็ค่อย ๆ เงียบหายไปกับความมืด เหลือเพียงความเงียบสงัดและวังเวงในยามค่ำคืนเข้ามาแทนที่

“เสียงมันเงียบไปแล้วพ่อ”

“เขาคงไปกันแล้วละ เพราะนี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว เขาคงไม่กลับมาอีกแล้วละ”

พวกเขาได้แต่พากันนั่งนับเวลารอให้ถึงรุ่งเช้า เพราะต่างก็อยากออกไปจากบ้านหลังนี้เต็มทีแล้ว

เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงรุ่งเช้า

ดวงตะวันยามเช้าเริ่มโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องลอดผ่านต้นผลไม้ที่แผ่กิ่งก้านใบหนาทึบปกคลุมบ้านหลังใหญ่สองชั้นที่ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้

“เช้าแล้ว รีบไปกันเถอะ” ลุงพันธ์ุเอ่ยกับลูก ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้อง

พวกเขาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามผู้เป็นพ่อออกไปจากห้อง แพรฟ้ากับน้ำทิพย์รีบพากันเดินตามหลังผู้เป็นพ่อลงตามบันไดไปชั้นล่างอย่างเร่งรีบ แต่แล้วไอ้พงษ์ที่กำลังเดินตามหลังมาเป็นคนสุดท้ายก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อจู่ ๆ หูของมันก็ได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตามหลังมา ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกชื่อของเขาดังแว่วมาเบา ๆ ตามสายลม

“พี่พงษ์…พี่พงษ์…”

ไอ้พงษ์รีบหันกลับไปยังต้นเสียงนั้นด้วยความประหลาดใจ ทันใดนััน ชายหนุ่มก็ต้องตกใจกับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ร่างของผีสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงเดรสสีขาวลายดอก กำลังยืนจ้องมองลงมาที่เขาด้วยสายตาที่เจ็บปวดทรมาน

เมื่อเขามองไปที่ขาทั้งสองข้างของเธอ ก็เห็นว่ามีโซ่ตรวนเส้นใหญ่ล่ามอยู่ ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง จนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนจ้องมองไปยังร่างผีสาวราวกับถูกมนต์สะกด

“อย่าลืมมาช่วยฉันด้วยนะพี่” ผีสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ทำให้ชายหนุ่มถึงกับขนลุกขนชันไปทั้งตัว

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าตอบรับออกไปอย่างไม่รู้ตัว

เมื่อน้ำทิพย์ลงไปถึงข้างล่าง ก็ไม่เห็นผู้เป็นผัวเดินตามมา จึงแหงนขึันไปดู ก็ทำให้เธอถึงกับแปลกใจ ที่เห็นเขายืนจัองมองขึันไปยังชัันบนบ้าน ราวกับว่ามีคนกำลังยืนอยู่ตรงนั้น

“พี่พงษ์! พี่พงษ์! ยืนมองอะไรอยู่ตรงนั้น รีบลงมาเลย” เสียงเรียกของน้ำทิพย์ ทำให้ผีสาวตกใจหายวับไปทันที เสียงที่เรียกทำให้ไอ้พงษ์ถึงกับสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะดึงสติของตัวเองกลับคืนมา เมื่อชายหนุ่มตั้งสติได้ ก็รีบก้าวเดินลงตามบันไดไปแบบไม่คิดเหลียวหลัง

“พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ” พูดจบ ไอ้พงษ์ก็รีบเดินออกจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ

พวกเขาต่างพากันรู้สึกแปลกใจกับคำพูดและสีหน้าท่าทางของเขา แต่ก็ไม่มีใครอยากถามอะไรในตอนนี้ เมื่อออกไปถึงหน้าบ้าน พวกเขาก็รีบพากันขึ้นรถ ก่อนที่ไอ้พงษ์จะขับออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว รูปแล่นออกมาได้ครู่หนึ่ง น้ำทิพย์ก็เอ่ยถามผู้ป็นผัวด้วยความอยากรู้

“เมื่อกี้นี้ฉันเห็นพี่ยืนมองอะไร เหมือนมีใครยืนอยู่บนบ้านเลย”

“ตอนแรกพี่ได้ยินเสียงคนเดินลากโซ่ตามมา พี่เลยหันไปดู ก็เห็นผีผู้หญิงคนนัันยืนอยู่”

“จริงเหรอพี่! เขาพูดอะไรกับพี่ล่ะ” น้ำทิพย์อุทานออกมาอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยถาม

“เขาบอกกับพี่ว่า ให้พี่มาช่วยเขาด้วย”

“ช่วยอะไรเหรอพี่” แพรฟ้าเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายเสียงสั่นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน พี่ก็เลยได้แต่พยักหน้าให้เขาไป”

“ไปพยักหน้าให้เขาแบบนี้ ก็เท่ากับเอ็งไปรับปากที่จะช่วยเขานะสิ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดและวิตกกังวล

“โธ่พ่อ! แล้วจะให้ผมทำยังไงละ ก็ผมไม่รู้นี่ ว่าเขาให้ช่วยอะไร ก็ต้องพยักหน้าไว้ก่อน มันกลัวจนนึกอะไรไม่ออกจริง ๆ”

“เออ ๆ มันผ่านไปแล้ว ก็ช่างมันเถอะ ถ้าเขาอยากให้ช่วยอะไรเดี๋ยวก็มาบอกอีกแหละ”

“โหพ่อ! แค่นี้ก็กลัวจะตายแล้ว ยังจะให้มาบอกอะไรอีกละ”

“ฉันว่าผู้หญิงคนนี้เธอน่าจะถูกขังไว้ในบ้านหลังนั้น แล้วถูกฆ่าตายก็ได้” แพรฟ้าเอ่ยขึ้นมาอย่างมีเหตุผล

“พ่อก็กำลังคิดเหมือนลูกนั่นแหละ ส่วนคนที่สั่งฆ่า มันน่าจะเป็นเสี่ยดำรงค์”

“ใช่พ่อ…ผมว่าบางทีบ้านหลังนั้นอาจมีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้อีกแน่เลย” พวกเขาคุยกันไปเรื่อยเพื่อขับไล่ความเงียบ จนรถแล่นมาถึงบ้าน

หลังจากกินข้าวกินปลากันอิ่มแล้ว แพรฟ้าก็ออกไปสอนนักเรียนตามปกติ ส่วนไอ้พงษ์กับน้ำทิพย์ก็พากันออกไปหาคนไปช่วยขนของกลับมาบ้าน

เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงตอนเย็น

ไอ้พงษ์ก็พากันขนของกลับมาบ้านจนเสร็จเรียบร้อย

“เฮ้อ! เสร็จซะที เร่งแทบตายกลัวว่าจะมืดก่อน ดีนะที่มีคนไปช่วยหลายคน” ไอ้พงษ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“เออ…แล้วเราจะทำยังไงกับบ้านหลังนั้นต่อ อุตส่าห์ซื้อมาเป็นล้าน ๆ ยังไม่ทันได้อยู่เลย ก็ต้องขนของกลับมาแล้ว”

“ผมว่าอยู่ไม่ได้ก็ขายทิ้งเถอะพ่อ อย่างน้อยก็ยังได้เงินคืนบ้าง”

“แต่ถ้าคนซื้อเขาอยู่ไม่ได้ก็จะมาด่าเราอีก มันเหมือนเราไปหลอกขายให้เขานะลูก”

“แล้วพ่อจะทำยังไงล่ะ ถ้างั้นก็แล้วแต่พ่อส่วนผมคงไม่เข้าไปอยู่อีกแล้วละ”

ขณะที่สองพ่อลูกกำลังนั่งคุยกันอยู่ น้ำทิพย์ก็เดินออกมาได้ยินพอดี

“ถ้าพ่ออยากได้เงินคืน พ่อก็ต้องขาย เพราะเก็บไว้ก็ไม่มีใครกล้าไปอยู่หรอก ทิ้งไว้นานมันก็เป็นบ้านร้าง ทำให้ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่”

“เออ ๆ เดี๋ยวพ่อขอคิดดูก่อน ว่าจะเอายังไง ตอนนี้ยังคิดอะไรไม่ออกเลย” ผู้เป็นพ่อเอ่ยก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพ่นควันโขมงดับความเครียด

ลุงพันธ์ุคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับบ้านที่อุตส่าห์ตั้งใจซื้อมาเป็นเรือนหอให้ลูกชาย ครั้นจะขายให้คนอื่นก็กลัวว่าจะมีปัญหาตามมา เพราะเกรงว่าคนที่ซื้อไปจะอยู่ไม่ได้ เมื่อคิดไม่ตก จึงต้องปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นไปก่อน หลังจากที่ไอ้พงษ์ขนของกลับมาแล้วเขาก็ไม่เคยย่างกรายกลับไปบ้านหลังนั้นอีกเลย

อีกด้านหนึ่งทางด้านผู้ใหญ่เชียร

วันนี้ผู้ใหญ่เชียรออกมานั่งสูบยาอยู่หน้าบ้าน สายตาของชายชราเหม่อมองไปตามทางด้วยความคิดถึงลูกชาย ธนชัยเหลือบไปเห็น จึงเดินเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยกับผู้เป็นพ่อขึ้นมาเบา ๆ

“ผมเห็นพ่อออกมานั่งรอพี่ชาติแบบนี้ทุกวัน คงจะคิดถึงพี่ชาติใช่ไหมพ่อ”

“เออ…ก็คิดถึงนะสิ พี่เอ็งเขาไปเรียนตั้งนานแล้ว ไม่ค่อยกลับมาบ้านเลย ได้แต่โทรมา”

“ผมว่าพี่ชาติเขาคงกำลังเคร่งเครียดกับการเรียน เลยไม่อยากกลับมาบ้าน พอเขาเรียนจบเดี๋ยวก็กลับมาเองแหละพ่อ”

“มันคงเรียนหนักเลยไม่อยากไปไหน เมื่อวานพ่อโทรไปหา มันก็บอกว่ากำลังยุ่ง ๆ เรื่องเรียนเรื่องฝึกอยู่”

“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก พี่ชาติเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้เป็นนายร้อยตำรวจแล้วนะพ่อ”

“เออใช่…แต่ก็อดคิดถึงมันไม่ได้ เพราะเราก็มีกันแค่สามคนพ่อลูกเท่านััน”

ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยตามประสาพ่อลูก ก่อนจะพากันออกไปทำงาน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel