ตอนที่ 3 ไม่ใช่สเปก
เสียงคนงานพูดคุยกันแว่วมาแต่เช้าตรู่ พร้อมเสียงตัดมะพร้าวให้หล่นลงคูน้ำดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เรียกให้กรวิชญ์ที่นอนอยู่ในห้องพักคนงานขยับตัวขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาลืมตาขึ้น มองเพดานห้องที่ไม่คุ้นตาแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกจากเตียงๆ สวมเสื้อยืดของไก่โต้งเตรียมไว้ให้แล้วเดินออกมานอกห้อง
ทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็เห็นกลุ่มคนงานกำลังช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น ทุกคนหน้าตาสดใส คล่องแคล่ว มีเสียงหัวเราะคุยกันเป็นระยะ ต่างกับชีวิตที่เขาเคยชิน ที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงจอแจและผู้คนที่ปั้นหน้าใส่กัน แต่ที่นี่กลับมีแค่เสียงธรรมชาติและผู้คนที่ยิ้มแย้ม
คนงานทั้งหมดที่เห็นตอนนี้มีเพียงห้าคน ลุงดำและโขงขึ้นต้นมะพร้าวคนละต้นเพื่อตัด อีกสามคนลำเลียงทะลายมะพร้าวที่หล่นลงในคูน้ำไปยังท่าน้ำที่มีรถจอดรออยู่ และตุลยาก็ยืนอยู่ที่นั่น
แต่สิ่งที่เขาสังเกตได้ชัดกว่านั้น ทุกครั้งที่ชื่อ “พี่มายด์” หรือ “คุณมายด์” ถูกเอ่ย คนพวกนี้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเคารพ ทั้งสนิทใจ มันไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความนับถือแบบจริงจัง
“ตื่นเช้าดีนี่พี่” เสียงของไก่โต้งดังขึ้นจากข้างหลัง เขากำลังถือพร้ากำลังจะไปตัดมะพร้าวช่วย
“ตื่นเพราะเสียงพวกนายต่างหาก” กรวิชญ์เดินไปข้างๆ
“ฮ่าๆ ก็นี่สวนมะพร้าวนะ เช้าคือเวลาทอง” ไก่โต้งพูดยิ้มๆ
ทั้งคู่เดินไปตามทางดินเล็กๆ ที่ทอดเข้าสู่ใจกลางสวน เส้นทางนั้นมี ร่องน้ำขนาดย่อมพาดผ่านเป็นแนวยาว สลับกับดินที่ปลูกต้นมะพร้าว ลำต้นสูงราวสองถึงสามเมตรกำลังให้ผลผลิตเต็มที่
เสียงมะพร้าวทะลายหนึ่งถูกตัดหล่นลงในร่องน้ำ จากนั้นลูกต่อๆ มาก็หล่นตามมา ไหลไปตามน้ำที่ไหลเอื่อยเหมือนสายพานธรรมชาติ กรวิชญ์หยุดมองภาพนั้น สีหน้าที่เคยดูเจ้าชู้ติดเล่นกลับนิ่งลงเล็กน้อยอย่างสนใจจริงจัง
“ความคิดไม่เลวนี่ คูน้ำล้อมรอบในการขนส่งทะลายมะพร้าว ไม่เปลืองแรง” เขาพึมพำขณะที่เดินไปด้วย
“พี่มายด์เป็นคนออกแบบระบบนี้เองนะ จากสวนรกร้างที่แทบไม่มีอะไร ตอนนี้ลูกค้ามารับมะพร้าวจนต้องได้จองต้นเอาไว้” ไก่โต้งเดินมาด้านข้าง มองร่องน้ำแล้วพูดอย่างภาคภูมิ
“เธอเป็นเจ้าของเหรอ”
“ใช่ครับ เจ้าของเต็มตัวเลย เริ่มทำตั้งแต่อายุไม่เท่าไหร่ จนตอนนี้ขยายสวนได้ตั้งหลายไร่แล้ว” ไก่โต้งยิ้มไปเล่าไป
กรวิชญ์เลิกคิ้วนิดๆ หันมองแปลงมะพร้าวที่ทอดตัวยาวสุดสายตา มีตั้งแต่ต้นที่สูงเพียงศีรษะไปจนถึงต้นที่สูงสามเมตร ถือว่าต้นเตี้ยและเก็บง่าย
“แล้วคนงานมีอยู่กันแค่หกคนเนี่ยนะ พอเหรอ”
“พอครับ” ไก่โต้งตอบทันที
“จริงๆ งานไม่ได้เยอะทั้งวัน หลักๆ แค่ตัดมะพร้าวตอนเช้า ลำเลียงลงร่องน้ำ แล้วก็ยกขึ้นรถหกล้อที่มารับปลายสวน ช่วงบ่ายก็พักแล้ว งานง่ายแต่ต้องขยัน พวกเราชินกันหมดแล้ว”
“หกคนทำสวนทั้งแปลงได้เลยเหรอ มะพร้าวไม่หมดก่อนเหรอ”
“ทำได้สิครับ แถมยังมีเวลานั่งเล่นอีกบาน ส่วนเรื่องมะพร้าวไม่ใช่ว่าจะมีคนมารับทุกวันขนาดนั้น สัปดาห์ละวันสองวันแล้วแต่รอบ เดือนนี้ตัดแปลงนี้ เดือนหน้าตัดแปลงท้ายสวน เดือนต่อไปตัดแปลงฝั่งทางนู้น ทิ้งช่วงให้ลูกมะพร้าวได้โต ” ไก่โต้งอธิบาย
“ค่าจ้างเท่าไรล่ะแบบนี้”
“วันที่ตัดมะพร้าวได้วันละห้าร้อยครับ ยกเว้นผม พ่อ แล้วก็พี่โขงที่เราพักอยู่ที่นี่ นอกจากมีงานตัดมะพร้าวก็ต้องดูแลสวน พี่มายด์ให้เงินเดือนต่างหากเดือนละห้าพัน ที่พักฟรี ส่วนอีกสามคนมาช่วยเฉพาะวันที่มีงานตัดมะพร้าว ไม่ใช่คนงานประจำ แม่ผมกับนรีก็ได้เดือนละห้าพัน แม่ขายกาแฟกับขายน้ำมะพร้าวอยู่หน้าสวน เฝ้ารั้วเข้าออกไปในตัว ส่วนนรีก็ช่วยดูแลงานบ้านเล็กๆน้อยๆ” เขาอธิบายต่ออย่างละเอียด ก่อนจะปลีกตัวไปปีนต้นมะพร้าวที่สูงไม่เกินสามเมตรแล้วตัดทะลายมะพร้าวลงน้ำ
กรวิชญ์มองภาพคนงานที่กำลังทำงานอย่างเป็นระบบและมีระเบียบโดยไม่ต้องมีใครสั่งมากนัก นึกชื่นชมตุลยาที่เธอสามารถทำธุรกิจนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว ในขณะที่ตัวเขายังไม่เป็นโล้เป็นพาย เกิดมาก็มีธุรกิจของครอบครัวรอให้บริหารต่อ
ขนาดน้องชายแท้ๆอย่างกวินยังรู้ว่าพี่ชายอย่างเขาจะทำอะไรเองไม่รอด ยกธุรกิจนี้ให้เขาเป็นผู้สืบทอดคนเดียว เพราะอยากสร้างธุรกิจเทคโนโลยีด้วยตนเอง และเพื่ออยู่เป็นเพื่อนคุณย่าจันลา ไม่ได้มาอยู่ภาคใต้กับพ่อแม่
แล้วยิ่งเขามาเห็นตุลยาสร้างตัวเองมาได้แบบนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี
กรวิชญ์เดินไปทางรถหกล้อคันใหญ่สามคันที่จอดอยู่ตรงปลายร่องน้ำ คนงานที่มากับรถและคนงานของสวนช่วยกันยกมะพร้าวที่นับจำนวนลูกแล้วใส่ท้ายรถอย่างคล่องแคล่ว เสียงพูดคุยโผงผางจริงจังเหมือนด่ากันและจริงๆเป็นหยอกล้อกันของพวกเขาทำให้บรรยากาศสวนดูมีชีวิตชีวา
ไม่นานนัก พ่อค้าคนกลางรูปร่างท้วมเดินเข้ามาพร้อมเอกสารและเงินสดในมือ เขาหัวเราะเสียงดังเป็นมิตร ก่อนจะพูดคุยกับตุลยาอย่างสนิทสนม
“ของวันนี้ลูกดกดีเหมือนเดิมนะคุณมายด์” พ่อค้าพูดอย่างพอใจ
“อีกสามวันผมเอารถมาอีก”
“ได้ค่ะ” ตุลยาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่หนักแน่น เธอรับเงินสดมานับอย่างคล่องแคล่ว
กรวิชญ์ยืนมองจากไกลๆ เห็นภาพหญิงสาวร่างเล็กในชุดทำงานธรรมดาๆ แต่ยืนอยู่กลางลานสวนด้วยท่าทีสง่างามอย่างประหลาด ท่าทีที่ทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ
หลังจากพ่อค้าคนกลางขับรถกลับไปพร้อมเสียงเครื่องยนต์ที่ค่อยๆ ห่างออกไป ตุลยาก็หันกลับมา และสายตาของเธอก็สบกับของเขาอย่างจัง
“ยืนเหม่ออะไร” น้ำเสียงของเธอไม่ได้รุนแรง แต่ก็ไม่อ่อนโยนเท่าไรนัก
กรวิชญ์ยิ้มบางๆ พยายามตั้งสติ “ผมจำอะไรได้ลางๆ แล้วครับ”
“เหรอ จำได้ว่าอะไร” เธอเลิกคิ้วนิดๆ เดินเข้ามาใกล้
“ผมชื่อวิชญ์” เขาตอบเสียงเรียบ ได้โกหกเธอไปแล้ว จะโกหกต่อก็ละอายใจ จึงต้องค่อยๆเผยความจริงออกมาทีละน้อย
“อย่างน้อยก็เริ่มได้บ้างแล้ว” หญิงสาวพยักหน้า เธอหันไปทางไก่โต้งที่เดินมาสมทบ
“ไก่โต้ง ฝากดูแลนายวิชญ์ด้วยนะ”
“ได้เลยพี่มายด์”
กรวิชญ์ฉวยจังหวะยิ้มกะล่อนนิดๆ แล้วทำท่าจะพูดอะไรหวานใส่ แต่ยังไม่ทันเปิดปาก เธอก็ถลึงตาใส่ทันที
“แล้วอย่าคิดว่ามาอยู่ที่นี่จะได้กินฟรีอยู่ว่างๆ นะคุณ อยู่ที่นี่ก็ต้องช่วยงาน” น้ำเสียงเข้มขึ้นทันที
“โอเคครับพี่มายด์” เขาพูดแล้วเรียกเธอว่าพี่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอได้ยินเขาเรียกเธอแบบนี้หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดนัก
พอเธอเดินจากไป ไก่โต้งก็หันมาสะกิดแขนเขา
“ยิ้มแบบนั้นคิดอะไรอยู่พี่วิชญ์”
“เปล่า” กรวิชญ์ลากเสียงยาว ก่อนจะตัดสินใจถามบางอย่างที่คาใจ
“ถามอะไรหน่อยสิพี่มายด์ไม่มีแฟนจริงเหรอ อายุก็สามสิบกว่าแล้วนี่”
ไก่โต้งหัวเราะแห้งๆ แล้วส่ายหน้า “ไม่มีหรอก ใครมาจีบก็โดนไล่หมด”
“ไล่เหรอ” เขาทวนเสียงต่ำ
“ใช่ พี่มายด์ไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ ชอบพวกที่ขยัน สู้ชีวิต เอาการเอางานมากกว่า”
กรวิชญ์ชะงักไปเล็กน้อย นั่นมันคือเขาชัดๆ
“ถ้าพี่จีบล่ะ”
ไก่โต้งฟังแล้วก็หยุดเดิน มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางส่ายหน้า
“ดูท่าทางพี่น่าจะเป็นพวกพนักงานออฟฟิศ นั่งอยู่แต่ในห้องแอร์ ทรงผมก็ตัดดูดี ผิวขาวขนาดนี้ ไม่น่าจะใช่สเปกพี่มายด์”
“พนักงานออฟฟิศแล้วไง ถ้าขยันและสู้ชีวิตก็มีสิทธิ์นี่”
“พี่มายด์เคยโดนผู้ชายหลอกมาก่อนน่ะ เลยไม่อยากมีแฟนอีก แฟนเก่าพี่มายด์ก็ประมาณนี้แหละ ผมก็ไม่เคยเห็นหรอกนะ รู้แค่ว่าพี่มายด์อคติกับผู้ชายทรงแบบพี่วิชญ์นี่แหละ”
“เฮ้ย ทรงแบบพี่คือยังไง”
“เจ้าชู้ ขนาดผมยังมองออกเลย” ไก่โต้งพูดแล้วเดินนำหน้ากลับไปยังที่พัก
กรวิชญ์เลิกคิ้วสูง นี่เขาดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
************************