ตอนที่ 4 ไม่ใส่ใจ
เสียงไก่ขันแว่วมากับลมเช้า กลิ่นดินชื้นจากร่องน้ำในสวนลอยคลุ้งเข้าจมูก กรวิชญ์ลุกจากเตียงในห้องพักคนงาน พลางบิดไหล่ไปมาอย่างขี้เกียจ
‘บ้าเอ๊ย ใครจะคิดว่าทายาทเดอลักซ์รีสอร์ตจะต้องมาตื่นแต่เช้าเพื่อใส่ปุ๋ยมะพร้าวแบบนี้วะ’
“พี่วิชญ์ รีบมากินข้าว สายๆจะได้ออกไปใส่ปุ๋ย”
เสียงของไก่โต้งตะโกนมาจากหน้าบ้านพัก เขายืนเท้าสะเอวมองเข้าไปเหมือนหัวหน้างานมากกว่าคนงาน
กรวิชญ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าบ้านพัก มองดูครอบครัวของไก่โต้งกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่ นรีบอกว่าวันนี้เป็นข้าวต้มหมึกแห้ง ให้เขาตักกินตามสบาย
ชายหนุ่มเดินไปยังหม้อที่วางอยู่บนเตา ตักข้าวต้มร้อนๆขึ้นมาใส่ถ้วย แล้วตักกระเทียมเจียวกับผักชีโรยหน้า ก่อนจะถือไปนั่งที่แคร่กับคนอื่นๆ
“พี่มายด์ล่ะ” เขาถามเธอ
“พี่มายด์ออกไปแต่เช้าแล้ว ไปลงบันทึกประจำวันเรื่องพี่วิชญ์นั่นแหละ” นรีพูดปุ๊บกรวิชญ์ก็ถึงกับสำลักออกมา
“ห๊า ไปแจ้งความพี่เหรอ” เขาถามด้วยความตกใจ
“ไม่ได้ทำอะไรผิดมาก็ไม่ต้องตกใจหรอก คุณมายด์ไปลงบันทึกประจำวันไว้เฉยๆ เผื่อมีญาติคุณตามหาจะได้ตามมาถูก” ดำเกิงพูดขึ้นแล้วเดินไปตักข้าวต้มเพิ่มอีกถ้วย
คนป่วยที่แกล้งความจำเสื่อมถึงกับคิดหนัก สงสัยว่าเขาจะแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมต่อไปไม่ได้แน่
เช้านั้นหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ กรวิชญ์ก็ตามโขงและไก่โต้งเข้าไปในสวนฝั่งทิศตะวันออก เขาได้เรียนรู้ว่าการใส่ปุ๋ยมะพร้าวมันไม่ได้ง่ายแค่โรยๆ แล้วจบแบบที่คิด
เขาต้องยกกระสอบปุ๋ยที่หนักจนไหล่แทบหลุด แล้วก้มตัวใช้มือหว่านให้รอบโคนต้นแต่ละต้น ไก่โต้งกับโขงคนงานอีกคนคอยบอกให้เขาเดินตามแถวและไม่พลาดต้นไหน
“เฮ้! อย่าโยนมั่วนะพี่ ต้องโรยรอบต้นแบบนี้ เห็นไหม” ไก่โต้งตะโกนพลางทำท่าให้ดู
“รู้แล้วน่า ก็ไม่เคยทำ” กรวิชญ์ย่นคิ้วใส่
“ถ้าไม่อยากโดนพี่มายด์ด่า ก็อย่าทำชุ่ย”
คำว่า ‘พี่มายด์’ ทำให้เขาหยุดเถียงทันที สายตาเปลี่ยนจากงอแงเป็นตั้งใจขึ้นมาทันตา
พวกเขาทำงานล่วงไปจนถึงช่วงบ่ายก็ยังไม่ได้พัก กรวิชญ์รู้สึกว่าตนเองหิวข้าวแล้ว แต่สองคนไม่ได้บ่นเขาเลยไม่ได้พูดอะไรแล้วตั้งใจทำงานต่อ
แดดแรงจนตอนนี้เหงื่อชุ่มเสื้อ เขากับไก่โต้งเปลี่ยนมาถอนวัชพืชตรงร่องน้ำ มือที่เคยนุ่มนิ่มของเขาเต็มไปด้วยดินจนเล็บดำไปหมด
“นี่แหละชีวิตเกษตร” โขงหัวเราะหึ มองดูคนที่เจ้าสำอางอย่างเขาแล้วก็ได้แต่เอ็นดู กรวิชญ์บ่นพึมพำเสียงเบาแต่ก็ยังก้มหน้าทำต่อ เพราะไม่อยากถูกมองว่าไม่เอาไหนหรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
ในจังหวะที่เขากำลังย่อตัวถอนหญ้า เงาเรียวยาวของใครบางคนทอดมาข้างหน้า พอเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นตุลยายืนกอดอกมองเขาอยู่
สายตาเธอไม่แข็งกร้าวเหมือนวันแรกอีกแล้ว มันมีแววประเมิน แฝงความพึงพอใจบางอย่าง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ ความไว้ใจ
“ทำเป็นด้วยเหรอ” เธอถามเสียงเรียบ
“ถ้าต้องอยู่ที่นี่ ก็ต้องเรียนรู้ไว้สิครับ” กรวิชญ์ยิ้มกะล่อนทั้งที่เหงื่อไหลเต็มหน้า
“หึ ก็ไม่เลวนี่” ตุลยายกคิ้ว
คำพูดสั้นๆ นั้นทำให้หัวใจชายหนุ่มพองโตขึ้นอย่างประหลาด แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เธอก็เอ่ยเสียงเข้ม
“แต่ถึงจะช่วยงานได้ ฉันก็ยังไม่วางใจหรอก นายอาจจะเป็นพวกหนีคดีก็ได้”
รอยยิ้มของเขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมามีแววซนในแววตา
“ถ้าผมเป็นคนร้ายจริง ผมคงไม่มาใส่ปุ๋ยให้คุณหรอก บางทีผมอาจจะเป็นตำรวจลับที่หนีการตามล่าของผู้ก่อการร้าย เกิดอุบัติเหตุจนสมองเสื่อมแล้วมาเจอเนื้อคู่เข้า แบบนั้นก็ได้นะ” เขาพูดหยอกเย้าเธอ แต่แทนที่หญิงสาวจะหวั่นไหวกลับกลอกตาขึ้นบนแล้วเอามือเท้าเอวมองเขา
“มโนได้ขนาดนี้ คงใกล้หายแล้วสินะ ถ้าหายแล้วฉันจะพานายไปอยู่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ให้เขาช่วยตามหาครอบครัว ฉันไม่อยากรับผิดชอบชีวิตใครหรอกนะ”
“ผมไม่ไป ผมคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว อีกอย่างความทรงจำของผมก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ให้ผมอยู่ต่อเถอะนะครับพี่มายด์” เขาขอเธอเสียงอ่อน ตีหน้าเศร้าแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“อืม อยู่ก็อยู่ ฉันละเบื่อกับท่าทางแอ๊บแอ้ของนายจริงๆ” เธอส่ายหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวกลับ ทิ้งให้เขานั่งยิ้มอย่างคนที่เริ่มสนุกกับเกมนี้เข้าเรื่อยๆ
ไก่โต้งเห็นก็ส่ายหัว “คิดจะทำตัวขยันก็เพื่อจีบพี่มายด์ล่ะสิ”
“ใช่ไง” เขาตอบหน้าตาย
“ฝันไปเถอะไอ้น้องชาย คุณมายด์เขาไม่ชอบคนสำอางแบบนายหรอก” โขงพูดแล้วหัวเราะขึ้นมา
“ไปๆ บ่ายกว่าแล้ว หิวข้าวชะมัด” ไก่โต้งชวนให้รีบกลับไปพัก กรวิชญ์ทิ้งวัชพืชในมือทันที ในที่สุดก็จะได้พักแล้ว เกิดมาไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อนเลย
************************
กรวิชญ์เพิ่งตระหนักว่าตนเองมาอยู่ที่นี่และขาดการติดต่อจากครอบครัวถึงห้าวันเต็มๆ แต่ปกติแล้วเขาก็เป็นอย่างนี้เสมอ ติดสาวๆและทิ้งงานปล่อยให้พ่อแม่ดูแล เพราะคิดว่าพวกท่านยังไหว และเขายังไม่พร้อมที่จะรับช่วงต่อในตอนนี้ อีกทั้งระบบบริหารก็ไม่มีอะไรมาก เพราะมีพนักงานคอยทำงานให้ตามระบบ ผู้บริหารมีหน้าที่อนุมัติงบประมาณและแผนงานต่างๆ พัฒนาบุคลากร และเป็นผู้นำเพื่อพาองค์กรให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น
‘คิดๆไป เราก็ไม่เอาไหนจริงๆนั่นแหละ’ เขาคิดในใจ พลางนึกว่าตอนนี้เขากำลังคิดจะทำอะไร จีบตุลยาเพื่อท้าทายความสามารถของตนเอง หรือว่าเขากำลังจริงจังกับเธอ
กรวิชญ์ยืนพิงรั้วไม้ข้างลาน ร่างกายอ่อนล้าหลังจากทั้งวันตากแดดถอนหญ้าและขนของ เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ แล้วหันไปเห็นตุลยาเดินเข้ามาพร้อมสมุดจดงานในมือ
เธอหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วจ้องหน้าเขาตรงๆ
“ได้ยินโต้งบอกว่า นายเริ่มจำอะไรได้แล้วเหรอ”
“ใช่ครับ เริ่มจำได้บ้างแล้ว ผมชื่อกรวิชญ์ อายุสามสิบสอง ผมมาจากกระบี่” กรวิชญ์ยักคิ้วอย่างไม่ทุกข์ร้อน จงใจบอกอายุให้เธอรู้ว่าเขาเรียกเธอว่าพี่นั้นไม่เกินจริง
“ดีนี่ งั้นโทรตามคนที่บ้านมาเอานายกลับไปสิ” เธอตอบเสียงเรียบ
เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มแห้งๆ
“ผม…จำเบอร์ไม่ได้”
“หะ” ตุลยาเลิกคิ้วทันที
“ก็ปกติผมไม่ได้จำเบอร์ใครนี่ครับ มือถือก็กดโทรเอาเลย ไม่เคยเมมในหัว” เขาพูดอย่างสบายๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ไหนเมื่อกี้นายบอกว่าเริ่มจำได้แล้วไง” ดวงตาคมของเธอหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้ากลายเป็นแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจน
“ก็จำได้บางอย่างไง ไม่ได้จำหมด” เขายักไหล่เบาๆ
“แล้วเบอร์โทรคนในบ้าน เบอร์พ่อแม่ เบอร์คนสำคัญ นายไม่จำไว้ในหัวเลยเหรอ” น้ำเสียงของเธอแฝงความตำหนิชัดเจน
กรวิชญ์เงียบไปแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบแบบขอไปที “มันก็ไม่จำเป็นนี่ครับ แค่กดโทรออก”
“ไม่จำเป็นเหรอ คนที่ใส่ใจคนในครอบครัวจริงๆ ต่อให้ไม่มีโทรศัพท์เขาก็ต้องจำได้ อย่างน้อยก็เบอร์บ้าน เบอร์พ่อแม่ แต่นายล่ะ ไม่ใส่ใจครอบครัว ฉันเกลียดคนแบบนี้ที่สุด” ตุลยาพูดซ้ำช้าๆ แววตาคมเฉียบจนเขาใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว
กรวิชญ์เม้มปากแน่นไปชั่วขณะ เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดจี้ใจดำเขาแบบไม่รู้ตัว เขาไม่เคยคิดจะจำจริงๆ ทุกอย่างในชีวิตมีคนจัดการให้หมดอยู่แล้ว จะโทรหาใครก็ให้ผู้ช่วยโทร จะจำอะไรเองก็ไม่เคยจำ แม้กระทั่งเบอร์คนในครอบครัวของตนเอง
“ฉันว่านายไม่ได้แค่ความจำเสื่อม นายอาจจะเคยสบายจนไม่ต้องจำอะไรเลยต่างหาก” เธอส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดเสียงเรียบแต่มีน้ำหนัก
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ประชด แต่กลับกระแทกเข้ากลางใจเขาแบบจังๆ
“ถ้าผมจำทุกอย่างได้ ผมจะปรับปรุงตัวใหม่” กรวิชญ์ยิ้มมุมปาก
“ก็ดี” หญิงสาวพูดเสียงเรียบ พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินกลับบ้าน ปล่อยให้เขายืนเงียบอยู่คนเดียว
“พี่วิชญ์ พี่มายด์ว่าไง” ไก่โต้งเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าเจ้าของสวนเพิ่งเดินกลับบ้านของเธอไป
“พี่มายด์บอกว่าถ้าฉันจำได้ก็ให้รีบไป”
เขาเงยหน้ามองฟ้ามืดๆ เหนือสวนมะพร้าว แล้วถอนหายใจยาว รอยยิ้มกะล่อนที่เคยติดอยู่บนหน้าค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวในใจ ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
************************
