เมื่อเสือสิ้นลาย

49.0K · จบแล้ว
ฝ้ายสีคราม/ ภ.ภิญญ์/ฝออ้าย
25
บท
343
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

คาสโนวาที่ควงสาวไม่ซ้ำหน้าต้องหนีจากการตามล่าเพราะเผลอจีบเมียชาวบ้าน ตุลยาได้ช่วยเขาเอาไว้ จากเสือจึงอยากกลายเป็นเหยื่อ แต่จะพิชิตใจเธอได้ เขาต้องพยายามให้มากขึ้น เพราะเธอเกลียดคนเจ้าชู้ที่สุด

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักรักแรกพบความจำเสื่อมเศรษฐีโรแมนติกแฮปปี้เอนดิ้งหนุ่มเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1 หนีตาย

เสียงดนตรีดังคลอเบาๆ แสงไฟหลากสีสาดกระทบกับใบหน้าคมจัดของชายหนุ่มวัยสามสิบสอง ที่มาพร้อมกับรูปร่างสูงสง่าที่พกเสน่ห์และความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม

กรวิชญ์ ศรัทธานนท์ ทายาทเจ้าของรีสอร์ตติดชายทะเลชื่อดังในจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ที่ขึ้นชื่อ เขาเอนพิงพนักโซฟาหนัง ดวงตาคมกริบกวาดมองหญิงสาวในร้านเหมือนนักล่าที่เลือกเหยื่ออย่างใจเย็น

ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางเมื่อสายตาปะทะเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง ผมดำยาว ผิวขาวเนียนตัดกับชุดเดรสรัดรูปสีแดงเลือดนกที่แนบกับร่างทุกสัดส่วน เธอนั่งดื่มคนเดียวด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังเบื่อหน่ายอะไรบางอย่างในชีวิต

“คืนนี้คงไม่ต้องนั่งเหงาแล้วสินะ” เขาพึมพำเสียงทุ้ม ก่อนจะเดินไปชนแก้วกับเธอ

“สวัสดีครับ” เสียงนุ่มทักทายขึ้นขณะที่เพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะเบาๆ

“สวัสดีค่ะ” เธอชนแก้วกับเขาแล้วยิ้มหวานใส่

“มาคนเดียวใช่ไหมครับ ผมสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้ว”

“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับแล้วมองใบหน้าหล่อเหลากับชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายนั้น แต่หญิงสาวรู้จักแบรนด์นั้นดี แค่เสื้อเขาก็ตัวละหมื่นกว่าแล้ว เรียกได้ว่าเรียบแต่หรู

“ผมวิชญ์ครับ ส่วนคุณผมขอเดาว่าชื่อ...นางฟ้า”

มายาวีหัวเราะเบาๆ ดวงตาฉ่ำเย้ายวน “คุณนี่พูดเก่งไม่เบาเลยนะคะ ปากหวานดีจัง”

“จริงๆแล้วผมพูดไม่เก่งเลยครับ แต่ถ้าไม่พูดก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณ” เขาโน้มตัวเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นเฉียดข้างแก้มของเธอ

“มายาวีค่ะ เรียกว่าวีก็ได้”

“ผมเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่รู้ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวหรือเปล่า คุณวีพอจะแนะนำผมได้ไหมครับ” เขาพูดเสียงนุ่มทุ้ม แววตาจับจ้องสื่อความหมายว่าสนใจเธอมากกว่าการปรึกษาเรื่องสถานที่เที่ยว

“ว่าแล้วว่าคุณต้องไม่ใช่คนแถวนี้ ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” เธอพูดแล้วยิ้ม สบตาเขาไม่ยอมลดละ

“ครับ”

“ฉันรู้จักอยู่ที่หนึ่งค่ะ วิวกลางคืนสวย ยิ่งตอนเช้านี่เห็นมุมที่พระอาทิตย์ขึ้นชัดมากเลยค่ะ”

“ที่ไหนครับ”

“ห้องฉันเอง สนใจไหมคะ” เธอเสนอขึ้นตามตรง เพราะรู้จุดประสงค์ที่เขาเข้ามาทักทายอยู่แล้ว

“ไปสิครับ” เขายิ้มกว้างที่เธอไม่อ้อมค้อม

ไม่นาน ทั้งคู่ก็พากันออกจากร้าน มุ่งตรงไปยังคอนโดหรูของมายาวี ร่างสูงของกรวิชญ์โอบเอวเธอแน่นตั้งแต่ในลิฟต์ ใบหน้าคมก้มลงกระซิบข้างหู

“ตัวคุณหอมจริงๆ” เสียงแหบพร่าชวนให้หัวใจเต้นแรง

เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็รวบตัวเธอเข้ามาจูบอย่างดุดัน มือใหญ่ไล่ไปตามแผ่นหลังเนียนราวกับกำลังจะกลืนกินทั้งตัว ริมฝีปากของทั้งสองบดเบียดกันอย่างดุดัน ต่างคนเหมือนกับว่ากำลังหิวโหยในความใคร่

ก่อนที่มือของเขาจะถอดชุดเดรสสีเข้มนั้นออกไปจากร่างที่เย้ายวน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังลั่นจนทั้งคู่สะดุ้ง

“นายหัวเสมา” มายาวีหน้าถอดสี

กรวิชญ์ชะงักทันที แววตาเปลี่ยนจากร้อนแรงเป็นตื่นตกใจ

“นายหัวเสมา ใครเหรอ”

“ผัวฉันเอง” เธอกระซิบเสียงสั่น

“อะไรนะ! บ้าฉิบ” เขาสบถต่ำๆ ก่อนจะเหลือบมองไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอยู่

“ทางเดียวแล้ว”

“นี่มันชั้นเจ็ดนะ” เธอรีบร้องเตือนเขา

เขาคว้าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาใส่ลวกๆ แล้วรีบปีนออกทางหน้าต่างด้านหลังระเบียง เสียงคนเคาะประตูดังถี่ขึ้นตามมาด้วยเสียงชายโวยวายด้านนอก

“เปิดประตู มายาวี ฉันรู้นะว่ามีผู้ชายอยู่ในนั้น”

กรวิชญ์ปีนไปเหยียบบนตู้พัดลมแอร์ด้านนอก แล้วปีนไปจนถึงบันไดหนีไฟได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะวิ่งพรวดลงไปที่ลานจอดรถ พยายามสตาร์ทรถของตัวเองแต่เครื่องไม่ยอมติด

“ให้ตายสิ!” เขาทุบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย แล้วเห็นว่ามีคนกำลังวิ่งลงมาจากบันไดหนีไฟจำนวนสามคน

“ฉิบหายแล้ว” เขารีบลงจากรถแล้ววิ่งไปตามถนน

“มันอยู่นั่น ตามมันไป!” เสียงตะโกนของลูกน้องนายหัวเสมาดังขึ้น

กรวิชญ์สบถอีกครั้งก่อนจะวิ่งสุดแรงไปทางร้านสะดวกซื้อ เขาเห็นจักรยานคันหนึ่งจอดอยู่โดยไม่มีเจ้าของ มือรีบคว้ามันมาปั่นออกไปโดยไม่คิดชีวิต

ลูกน้องสองคนวิ่งไล่เขาอย่างไม่ลดละ ในขณะที่อีกคนกำลังวิ่งไปทางรถยนต์เพื่อที่จะขับไล่ตามมา

ลมหอบแรงๆ กระทบแก้ม เขาปั่นจักรยานลงทางลาดชันของถนนเส้นเล็ก เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่จึงไม่รู้ว่าถนนเส้นนี้นั้นจะนำพาไปสู่เส้นทางที่มืดและลาดชัน

เสียงรถยนต์ด้านหลังดังลั่นตามมา

“เร็วเข้า อย่าให้มันหนี” ลูกน้องสองคนที่วิ่งตามในตอนแรกขึ้นไปอยู่บนรถยนต์คันนั้นแล้ว และกำลังชี้ทางให้รถยนต์ไล่ตามเขา

เขาหันไปมองเพียงเสี้ยววินาที รถยนต์คันนั้นก็แซงเข้ามาจี้ท้าย เสียงเบรกกะทันหันดังลั่น ก่อนที่ล้อจักรยานจะสะบัดแรง

โครม!! รถจักรยานตกลงไปข้างทาง กรวิชญ์เพิ่งจะรู้ว่าเนินนี้สูงมากก็ตอนที่เขากลิ้งลงไปหลายตลบ

เสียงเครื่องยนต์หายไป ร่างสูงใหญ่ของเขากระแทกเข้ากับต้นไม้ รู้สึกได้ถึงเลือดที่ซึมตรงขมับ กรวิชญ์พยายามขยับตัวแต่ไม่ไหว เปลือกตาหนักอึ้งก่อนที่สติจะดับวูบลงในความมืด

************************

เสียงจอแจของคนที่พูดคุยกันแว่วลอดเข้ามาในโสตประสาท ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่กำลังแยงทะลุเปลือกตา และพื้นไม้แข็งๆ ที่รองแผ่นหลังอยู่

กรวิชญ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงจ้าบาดตาจนต้องหรี่ตา ก่อนภาพตรงหน้าจะเริ่มชัดเจนขึ้น

ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ก้มลงมองเขา ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ผิวแทนเนียน ดวงตากลมโตที่ฉายแววเป็นห่วงแต่แฝงความระแวง ริมฝีปากได้รูปกำลังเม้มแน่น

“ฟื้นแล้วเหรอคุณ” เสียงนุ่มแต่เด็ดขาดถามขึ้น

ชายหนุ่มยังไม่ทันปรับสมองให้เข้ากับสถานการณ์ ดวงตาคมสบกับใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างงุนงง คิดว่าหญิงสาวบ้านๆแบบนี้น่าดึงดูดดี แล้วจู่ๆ เขาก็แพ้เสียงในหัว ดึงร่างของเธอเข้ามากอดแน่น

“เฮ้ย! ปล่อยนะ คนบ้า”

เพียะ! เสียงด่าทอตามมาด้วยเสียงฝ่ามือตบดังสะท้อนทั่วแคร่ไม้

ตุลยาเบิกตากว้างทั้งโมโหทั้งตกใจ ก่อนจะผลักเขาออกเต็มแรง

“ช่วยไว้แท้ๆ ยังจะมาทำเรื่องหื่นใส่อีกเหรอ คนอะไรเนรคุณแบบนี้” เธอตวาดรัวๆ ดวงตาวาวกร้าว แก้มแดงขึ้นเพราะทั้งโกรธทั้งอาย

กรวิชญ์อ้าปากจะพูด แต่พอเห็นด้านหลังของเธอยังมีคนงานวัยรุ่นสองคนยืนมองอยู่ตาโต เขาก็รีบกุมหัวแสร้งทำหน้าเหยเกทันที

“ผม... ผมอยู่ที่ไหน” เสียงเขาอ่อนแรง สายตาสับสนอย่างแนบเนียน

ตุลยาชะงัก ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเริ่มมีแววลังเล

“พี่มายด์ ฉันว่าหมอนี่ไม่ปกติแน่เลย สงสัยจะหัวกระแทกหิน ความจำเสื่อมมั้ง” ไก่โต้งคนงานวัยสิบเก้าพูดขึ้นเบาๆ ตอนที่ไปเจอเขานอนสลบอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสวน เลือดท่วมหัวคิดว่าจะไม่รอดแล้ว

“หรือไม่ก็สติไม่ดี” นรีผู้ช่วยคนสนิทของตุลยาพูดเสริมอย่างหวาดๆ

หญิงสาววัยสามสิบสามกอดอก มองชายหนุ่มตรงหน้าที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ แต่หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวเกินกว่าจะเป็นโจรข้างทาง

“นายหัวแตกน่ะ ฉันพันแผลไว้แล้ว เดี๋ยวอนามัยเปิดจะพาไปทำแผลใหม่ ว่าแต่นายเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้” เธอบอกเขาก่อนจะถามเสียงเรียบ

กรวิชญ์กำลังจะบอกเธอ แต่เมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนหนีตายจากการไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน รถเขายังจอดไว้ที่ลานจอดรถ หากกลับไปเอาแล้วพวกนั้นซุ่มรออยู่ต้องซวยแน่ อีกทั้งเธอก็น่าสนใจไม่หยอก จึงอยากพักที่นี่สักพัก

“อื้อ ปวดหัว... ผมนึกอะไรไม่ออก” เขาเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเศร้า ก่อนจะปล่อยศีรษะเอนลงกับแคร่ไม้ หลับตาแสร้งหมดสติอีกครั้ง

“เอาเถอะ ถ้าไม่ตายก็ดีแล้ว เดี๋ยวค่อยถามอีกที” ตุลยามองเขาอย่างระแวดระวังแต่ก็อดสงสารไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก หันไปสั่งลูกน้อง

“เอารถกระบะมา พาไปตรวจที่อนามัยก่อน ถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาก็ค่อยให้อนามัยส่งตัวไปโรงบาลเอง”

“ครับลูกพี่” วัยรุ่นทั้งสองพูดแล้วรีบไปทำตามคำสั่งของเจ้าของสวนมะพร้าวที่ตนทำงานอยู่อย่างเคร่งครัด

************************