บทที่3
ครั้นจะนั่งต่อไปก็ใช่เรื่อง เรณุวัตจึงลุกขึ้นบ้าง เพราะเขาเองก็มีงานต้องทำ เมื่อเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกก็เห็นโดมก้มตาก้มตาเช็ดถูรถ “พ่อขับรถ ไปทำงานอยู่หรือปล่าวโดม” เรณุวัตรู้สึกเป็นห่วงพ่อ เพราะอายุท่านที่มากขึ้นทำให้รู้สึกกังวล คนที่กำลังเช็ดถูรถให้เจ้านาย ลดมือลง
“ช่วงนี้ ไม่ครับ”
“แล้วช่วงไหนล่ะ”
“ช่วงที่ไปทำงานซิครับ”
“เดี๋ยวถีบเลย” ว่าแล้วยกเท้าขึ้นสูง โดมคนใช้ที่สนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ๆ หรือจะเรียกว่าเพื่อนก็ว่าได้ กระโดดหลบ ต่างฝ่ายต่างหัวเราะ บรรยากาศเหมือนในวันเก่าก่อนพาดผ่านเข้ามา
“วันนี้พ่อจะไปทำงานหรือป่าว” เรณุวัตก้มมองดูเวลา หากต้องการพบพ่อ เขาต้องดักรอช่วงเช้าเท่านั้นไม่ว่ากี่เดือนกี่ปี งานจำกัดเวลาความเป็นส่วนตัวของครอบครัว และกลายเป็นช่องว่างระหว่าง ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายร้องหาโดยที่อีกคนหนึ่งไม่เคยรู้โดยปริยาย
“คงไม่อะครับ” คิ้วหนานูนสูง ไม่เชื่อว่าโดมจะพูดเรื่องจริง “จริง ๆ นะครับ คุณท่านหยุดมาเป็นอาทิตย์แล้ว มีงานก็จะโทร.สั่ง”
“เป็นอาทิตย์เลยเหรอ...” เสียงทุ้มแผ่วเบาเหมือนละเมอ พ่อก็ปล่อยให้คนอื่นคุมงานน่ะสิ!
“ครับ เป็นอาทิตย์แล้ว” โดมยืนยัน
“ไม่น่าเชื่อ” ได้คำยืนยันแน่ชัด เรณุวัตรู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก เมื่อไม่คิดว่าคนบ้างานอย่างพ่อ จะหยุดงานยาวได้ เมื่อก่อนขนาดป่วยยังลากสังขารไปทำงานเลยหรือท่านพูดจริง เรื่องวางมือจากงานบริษัท!
“ท่านป่วยไม่สบายหรือป่าว”
“ก็เท่าที่เห็น สบายใจมากกว่า” ไม่ใช่นินทาเจ้านาย แต่พูดเรื่องจริง ตั้งแต่ได้สมาชิกเพิ่มเข้ามา คุณท่านของทุกคน จากอาการเหมือนคนโดดเดี่ยว มุ่งแต่ทำงาน หอบเอกสารกลับบ้าน ไม่เคยมีรอยยิ้ม ชอบทำตัวเงียบขรึม ก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เขามาสอดแทรกความเงียบของคฤหาสน์ให้มีชีวิตชีวาขึ้น
คนหนุ่มใจร้อนหันกลับตรงไปยังทิศทางเดิมอีกครั้ง โดมได้แต่มองตามหลังด้วยความแปลกใจ แต่จะให้ยืนอยู่เฉยคงไม่ได้ โดมตัดสินใจเดินตาม แต่ก็ทิ้งระยะห่างไว้
“คุณพ่ออยู่ไหน” เขาถามเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนอยู่แถวนั้น
“ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบกลับไปแต่ไม่ได้เงยหน้า เพราะจำน้ำเสียงนั้นได้ดี ที่สำคัญก่อนหน้านั้น ทั้งคนถูกถามหา และคนถามทั้งสองเพิ่งแยกออกมาคุยด้วยกัน สวนเธอเพิ่งออกจาห้องครัวจึงไม่มีคำตอบให้เขาจริง ๆ
“มารยาทเวลาคุยกับเจ้านาย ป้าเตือนไม่เคยสอนหรือไง” ครานี้ใบหน้าหวานเงยขึ้น นัยน์ตาเยียบเย็น วางของในมือลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ขอโทษนะคะ คำตอบก็ให้ไปแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกคะ” คำตอบนั้นทำให้เรณุวัตเพ่งมองคู่สนทนาจริงจังขึ้น
“เธอไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหรอ”
“ถ้าคุณบอกว่าไปตามคุณราชิตให้หน่อย ฉันก็ไปตามให้ได้ แต่คุณเล่นถามว่าคุณราชิตอยู่ไหน ซึ่งตอนนี้ฉันไม่สามารถรู้ได้ค่ะ”
“เธอนี่ มันช่างยอกย้อนเก่งจริงนะ” เขาว่าพร้อมสายตาตำหนิเท้าก็ก้าวไปหา “อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็...” เขาเว้นจังหวะสาดสายตาขึ้นลงไปตามรูปร่างบอบบางแต่เต็มไปด้วยสัดส่วนได้รูป อย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายต่อว่า ว่าไม่มีมารยาทกลับ
“ทำไมคะ” เธอถาม ไม่ชอบสายตานั้น
เขาหยุดก้าวเท้าละตอบกลับ “หึ ก็ไม่ทำไมหรอก”
“งั้น ขอตัวนะคะ” เมื่อคิดว่า ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเขาได้ ใจปองจึงขอแยกไปเสียดีกว่า แต่เรณุวัตกลับคิดไปว่า นั้นคือการแสดงทีท่ารังเกียจเขา
“อวดดี”
จากที่ตั้งใจเลี่ยงการปะทะอารมณ์ก็ต้องหยุดชะงัก “อวดดี?” เธอย้อนคำพูดเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ “ขอโทษนะคะ หากฉันไม่สามารถให้คำตอบคุณได้ ถือว่าเป็นการอวดดี งั้นดิฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ” เธอก้มหน้าให้เขาเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอโทษจากใจจริง เพราะคิดว่ายังไงสะ เขาก็คือลูกชายสามีของพี่สาว ความเคารพยังมีอยู่
สายตาเขายังลามเลียไปทุกสัดส่วนบนร่างกายภายใต้อาภรณ์บางเบานั้น “ยังเรียนอยู่หรือเพิ่งจบ...” เขาเปรยขึ้น ใจปองทำสีหน้าแปลกใจ
“จบแล้วไม่มีงานทำ ก็ออกไปเต้นกินรำกินสิ หรือไม่ก็ทำเหมือนพี่สาว หน้าตาแบบนี้คงหาเหยื่อได้ไม่ยาก”
มือเรียวกำเข้าหากัน จนไร้ช่องว่างตอบกลับไป “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ” เท่านั้นเสียงหัวเราะของเขาก็ระเบิดขึ้น อย่างกับดูละครตลกขำขัน ใจปองกัดริมฝีปากจนห่อเลือดสะบัดหน้าเดินหนี คนบ้า!
“ว้าย!” ใจปองร้องเสียงหลง เมื่อแขนของเธอถูกกระชากอย่างแรง จนรู้สึกว่าข้อต่อหัวไหล่เธอเกือบเลื่อนหลุด
“ฉันยังคุยไม่จบเลยนะ” มือหนายังบีบน้ำหนักลงไปตามอารมณ์ขุ่นหมองบนต้นแขน ใจปองหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ แต่เธออดกลั้นข่มความเจ็บเอาไว้ แล้วค่อย ๆ บอกความต้องการออกไป ด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย ปล่อยแขนฉันเดียวนี้นะ” เธอสั่ง แต่ไม่บอกความรู้สึก ให้อีกคนได้ใจกับการกระทำ
“เธอเป็นใคร ถึงมาสั่งฉัน” เสียงทุ้มต่ำเปล่งถาม
“เป็นคน ที่ไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณไงเล่า” เธอสะบัดแขนพร้อมกันนั้น เท้าบางยกขึ้นกระทืบไปบนหลังเท้าหนาอย่างไม่ออมแรง ผลคือแขนเธอเป็นอิสระ แต่อีกคน ก้มหน้างอตัวมองหลังเท้าของตัวเอง มือหนาปัดหลังเท้าของตัวเองปอย ๆ ตาจ้องใบหน้าขาวนวลที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อ ด้วยสายตาอาฆาต
“พอใจยัง” แม้จะกลัวจนใจสั่น แต่เธอใช่คนขี้ขลาดไม่สู้คน ยืนท้าพร้อมต่อกร เรณุวัตเบ้หน้า ความเจ็บเริ่มบรรเทา
“เธอกล้ามากนะ” เขาโพลงอย่างโกรธเคือง ไม่มีสักครั้งที่ใครหน้าไหน ทำให้เขาต้องเจ็บตัว
“กล้ามาก หากหน้าตาคนทำ ไม่เหมือนหน้าพ่อหน้าแม่” เธอประกาศอย่างไม่กลัว หากเรื่องถูกฟ้อง ด้วยทำร้ายลูกชายเจ้าของบ้าน ... อย่างดีก็ออกไปอยู่ที่อื่น เพราะเธอคิดว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ ที่เธอสมควรอยู่เช่นกัน
เขาชี้หน้าเธอ “ยัยแม่ปลิงแสบ ฉันจะเอาเธอมายำคอยดู...”
น้ำเสียงดุกร้าว ยันตัวยืนตรง ปองรักนึกขึ้นได้ ว่าไม่อยากมีเรื่องตอนนี้รีบวิ่งฉิว ไม่รอฟังคำอาฆาต
เรณุวัตเดินแกมวิ่งตามไป “หึ คิดหรือ จะรอด” ดวงตามาดหมาย มองตามเส้นทางเดินที่เขาคุ้นเคย ส่วนโดมที่เดินเข้ามา และเป็นจังหวะที่ชายหนุ่มลับฝีปากกับหญิงสาว เขาจึงทำตัวหายเข้ากลีบเมฆ ด้วยไม่อยากเป็นกรรมการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
