5
เธอถูกจับกุม
ซูเหยาล้มตัวลงบนเตียงและหลับตาลงด้วยความอ่อนล้า สติของเธอเหมือนหลุดออกจากร่างและรู้สึกถึงการถูกดึงเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง
เธอพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางห้องที่ว่างเปล่า เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ดูไร้ขอบเขต ผนังของห้องนั้นมองไม่เห็นเลยสักนิด มันเป็นสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา เหมือนเธอหลุดเข้ามาในมิติว่างเปล่าอย่างไรอย่างนั้น
...บรรยากาศรอบข้างเงียบงันจนเธอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดเจน
เธอค่อยๆ เดินไปในห้องที่ดูเหมือนยาวไม่รู้จบ พื้นนั้นเป็นสีขาวเรียบสะอาด มองไม่เห็นเงาของสิ่งใด มีเพียงตัวเธอที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ แต่ไม่นานนัก เสียงแปลกๆ ก็เริ่มดังขึ้นจากที่ไกลออกไป
“กร้วม... กร้วม...”
เป็นเสียงกัดอะไรบางอย่างดังมาจากมุมหนึ่งของมิติ คล้ายเสียงเคี้ยวอาหาร เธอหยุดเดิน หรี่ตาฟังเสียงที่ดังมานั้นชัดเจนขึ้น มันดังมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงพึมพำเหมือนเด็กเล็กที่กำลังสนุกสนานกับของกิน
ซูเหยาเดินไปทางที่มาของเสียง และทันใดนั้นเอง เธอก็ได้เห็นภาพที่ทำให้เธอต้องชะงัก ตัวเธอยืนอยู่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่มีปากขนาดใหญ่ เป็นปากที่กำลังเคี้ยวของบางอย่างอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งเมื่อเธอสังเกตดูดีๆ ของที่มันกำลังเคี้ยวนั้นไม่ใช่อาหาร แต่กลับเป็นแหวนหยกที่เธอเคยเห็นมาก่อน
แหวนหยกนั้นเป็นของมีค่า มันคือเครื่องประดับที่ชายแก่คนหนึ่งใส่อย่างไม่ผิดแน่ มันถูกกัดเข้าปากใหญ่ๆ นั่นอย่างง่ายดาย ทันทีที่ปากใหญ่ๆ นั้นเคี้ยวเสร็จ วัตถุชิ้นถัดไปที่วางอยู่ไม่ไกลก็ถูกดูดเข้าเข้าต่อมา ไม่ว่าจะเครื่องลายครามอันเดียวของบ้านหลี่ที่วางในห้องรับแขก หรือจะเป็นชามกระเบื้องใสที่พ่อหลี่หวงนักหวงหนาและเพิ่งเอามาใช้ต้อนรับผู้ใหญ่สามคนที่มาดูตัวเธอ เสียงกร้วมๆดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งของตรงหน้าที่มีอยู่น้อยนิดหมดไป
และสิ่งที่ทำให้ซูเหยาต้องยืนอ้าปากค้าง คือเมื่อปากใหญ่ๆ นั้นเคี้ยวของมีค่าจนเสร็จเรียบร้อย มันก็เริ่ม “ขับถ่าย” เหรียญและธนบัตรออกมาจากอีกฝั่งของปาก เศษเงินเหรียญและธนบัตรของจีนในยุคที่เธออยู่นี้หล่นออกมาจากปากที่ใหญ่โตนั้นราวกับเป็นขยะที่ถูกกำจัดออกมา
“มัน...กินของมีค่าและอึออกมาเป็นเงินเหรอ?”
ซูเหยาพึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นตะลึง เธอค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้ปากใหญ่นั่น สิ่งที่เธอรู้ได้ทันทีคือนี่ไม่ใช่ความฝัน มันคือมิติหนึ่งที่ติดตัวเธอมานานด้วย!
มิติพิเศษนี้…สามารถผลิตเงินได้จากของมีค่า แต่ต้องใช้สิ่งของที่มีมูลค่าป้อนใส่เจ้าปากนี้ก่อน และมันก็จะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นเงินแทน
ตอนนี้ซูเหยาเหมือนเจอขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ หลังซูเหยาตื่นขึ้นมาจากมิตินั้น เธอรู้สึกสมองปลอดโปร่งมองไปที่แสงแดดอ่อนๆ ของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา พบว่าเวลาผ่านไปจนข้ามวันแล้ว แต่ไม่มีใครในบ้านหลี่มาปลุกเธอหรือเรียกไปกินข้าวเลย แม้เธอจะหายไปทั้งคืน แต่ไม่มีใครใยดี
เธอนั่งบนเตียง คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทั้งหมด สิ่งที่เธอทำกับพวกชายมากอำนาจเมื่อวานอาจนำพาความลำบากและภัยอันตรายมาสู่ครอบครัวหลี่อย่างที่เธอคิดไว้ แต่ก็ตามมาด้วยภัยต่อตัวเธอเองด้วย
คิดได้เช่นนั้นซูเหยาก็เริ่มวางแผนว่าหากจะแยกตัวออกไปจากบ้านนี้และตั้งชีวิตใหม่ก็ต้องรีบทำก่อนที่ปัญหาจากเรื่องเมื่อวานจะมาถึง
สิ่งเดียวที่ทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นคือมิติพิเศษที่เธอเพิ่งค้นพบ มันคือความสามารถในการผลิตเงิน แต่การจะได้มาซึ่งเงินก็ต้องมีของมีค่ามาป้อนให้มิตินี้ก่อน
เธอจะเริ่มต้นใช้ของมีค่าของบ้านหลี่มาป้อนให้เจ้ามิติที่เป็นดั่งขาทองคำให้เธอก่อนเลย อย่างไรครอบครัวหลี่นี้ก็ไม่เคยเห็นค่าของร่างเดิมอยู่แล้ว เว่ยจงพี่ชายผู้เห็นแก่ตัว และแม่จางและพ่อหลี่ที่คอยแต่จะด่าทอราวกับเธอเป็นเพียงเครื่องมือใช้หาผลประโยชน์ไม่ใช่คนที่มีชีวิต
ถ้าเธอเอาของมีค่าทั้งหมดจากบ้านหลี่ให้หมดตัวไปเลยก็คงจะสะใจดี...เพราะเธอไม่ได้ต้องการเพียงแค่หนีจากครอบครัวนี้ แต่ต้องการเอาคืนกับสิ่งที่ร่างเดิมถูกทำเหมือนเป็นของไร้ค่าด้วย!
ขณะที่กำลังคิดวางแผนอยู่ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นแทรกเข้ามา
"นังซูเหยา! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!"
เป็นเสียงของแม่จางดังขึ้นจากอีกฟากของประตู น้ำเสียงฟังดูร้อนรนและรีบร้อนผิดปกติ ไม่เหมือนทุกครั้งที่เธอเคยได้ยิน เมื่อไม่ได้รับการตอบรับเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับคนข้างนอกกำลังไม่สบายใจอะไรบางอย่างจนไม่สนใจว่าตนเองจะเจ็บมือหรือไม่เลย
ซูเหยาเดินมาหยุดนิ่งอยู่หลังประตู ฟังเสียงแม่จางและเพิ่งมีเสียงของผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่คนสกุลจางคุยกันอยู่หน้าประตู เสียงผู้ชายไม่คุ้นหูนั้นนิ่งและขรึม แต่น้ำเสียงของแม่จางกลับฟังดูหวาดกลัว
"ลูกสาวเธออยู่ไหน?"
"ขะ... ข้างในค่ะ ข้างในห้อง!" แม่จางตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ซูเหยานิ่งฟัง เธอขมวดคิ้วพิจารณาดูจนมั่นใจว่าผู้ชายเจ้าของเสียงไม่น่าจะใช่คนที่บ้านหลี่เรียกมาดูตัวเธอแน่ๆ เสียงของเขาไม่มีความสนใจหรืออารมณ์แบบพวกตาแก่พวกนั้น เธอตัดสินใจผลักประตูเปิดออกมาช้าๆ ภาพที่เห็นทำให้เธอขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เบื้องหน้าของเธอคือชายในชุดเครื่องแบบทหารยืนอยู่หน้าห้อง ด้านหลังยังมีทหารอีกหลายคน เธอเหลือบเห็นเว่ยจง พี่สะใภ้หลิว และพ่อหลี่ยืนเกาะกลุ่มกันที่มุมไกลๆ ดูกลัวทหารพวกนี้กันหมด
ทหารนายหนึ่งหันมามองเธอด้วยสายตานิ่งๆ แล้วเอ่ยถาม
"คุณคือซูเหยาใช่ไหมครับ?"
พอได้ยินชื่อเธอ พ่อหลี่กับเว่ยจงก็รีบวิ่งมาข้างหน้า พ่อหลี่ชี้มาที่เธอทันที
"ใช่ๆ คนนี้แหละ! พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหล่อนเลยนะ หล่อนเป็นลูกอกตัญญู นิสัยแย่มาก คงแอบทำเรื่องผิดกฎหมายไว้แน่ๆ พวกคุณเอาไปได้เลย พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!"
เว่ยจงกับหลิวหลิงก็เสริม "ใช่ๆ น้องสาวคนนี้นิสัยแย่มาก นำเรื่องลำบากมาให้พวกเราตลอดเลยค่ะ!"
ซูเหยายืนนิ่งฟังทุกอย่างด้วยความสงบ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดที่ดูหมิ่นตนเองของครอบครัว เธอมองไปที่ทหารนายหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นผู้นำ
"พวกคุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรอคะ?"
"มีคนอยากพบคุณ" หัวหน้าทหารตอบสั้นๆ "กรุณาไปกับพวกเราหน่อยครับ"
ในใจเธอนึกไปถึงเรื่องที่เธอฆ่าคนไปเมื่อคืนวานนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางของทหารพวกนี้ดูไม่เหมือนพามาเพื่อจับกุมเพราะทำผิด เธอจึงยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดจะถูกสักเท่าไหร่ เช่นนั้นแล้วเธอตามพวกเขาไปก็คงจะรู้เรื่องเองนั่นล่ะ
"ฉันขอเวลาเปลี่ยนชุดก่อนค่ะ" ซูเหยาพูดอย่างใจเย็น "ได้โปรดไปรอที่หน้าบ้านสักครู่ ฉันพร้อมแล้วจะไปกับพวกคุณค่ะ"
ทหารพยักหน้าตอบรับแล้วถอยไปที่หน้าบ้านตามที่ซูเหยาขอไว้ การตอบรับเช่นนี้ช่วยยืนยันสิ่งที่เธอคิดได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาจับกุมเธอแน่นอน เพราะมีอย่างที่ไหนพวกเขาจะปล่อยให้คนร้ายคาดสายตา
พอทหารออกไปเท่านั้นเองครอบครัวหลี่ก็กรูเข้ามาหาเธอทันที เป็นเว่ยจงเดินเข้ามาต่อว่าเธอด้วยความโกรธก่อนคนแรก
"ทำไมเธอต้องทำเรื่องแบบนี้ให้คนทั้งบ้านเดือดร้อนอีกด้วย หายไปตั้งสองปีกลับมาก็ยังไม่เลิกก่อปัญหาอีกหรอ!"
พี่สะใภ้หลิวก็เสริมต่อมา "พวกเราไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของแกเลยนะ อย่ามาโยนความผิดให้พวกเราล่ะตอนที่พวกทหารสอบสวน!"
แน่นอนว่าพ่อแม่ของหลี่ซูเหยาก็พ่นคำต่อว่ามากมายจนคนยืนฟังอดที่จะขบขันในความตื่นตูมของพวกเขาไปไม่ได้ หากพวกเขามีสติสักนิดย่อมมองเจตนาของทหารพวกนั้นออก แต่การที่บ้านหลี่ไม่ฉลาดนี่ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเธอนั่นล่ะ
เธอจะใช้เหตุการณ์นี้ให้เกิดประโยชน์เสียเลย สีหน้าสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าและต่อมาก็ส่งเสียงสะอื้น เธอแสร้งยกมือปาดน้ำตาแล้วพูดเสียงสั่นเครือ
“ก็ได้ค่ะ ถ้าพวกคุณไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับฉันอีก...แต่ก่อนที่ฉันจะไป ขอเงินหรือของมีค่าติดตัวไปหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะไม่กลับมาให้เป็นภาระของบ้านหลี่อีกเลย”
คำขอนี้ทำให้ทั้งพ่อหลี่และแม่จางดูเหมือนจะไม่ยอมในตอนแรก แต่แล้วพ่อหลี่ก็คิดได้ว่าถ้าให้ซูเหยาติดมือไปบ้างก็น่าจะเป็นการขับไล่เธอออกไปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีเหตุผลใดให้กลับมาเรียกร้องอะไรอีกในภายหลัง เขาจึงพยักหน้าอย่างโดยพลันก่อนจะเดินไปยังห้องเก็บของที่อยู่ในสุดของบ้าน
ซูเหยาฉวยโอกาสนี้แอบสังเกตดูอย่างที่เธอวางแผนไว้ เธอรู้ว่าบ้านหลี่ไม่เอาของมีค่าอะไรมากนักหรอกแต่เธอหวังจะรู้ที่เก็บสมบัติของพวกเขาต่างหาก
เธอมองตามพ่อหลี่จนเห็นเขาหยิบกุญแจออกจากกระเป๋าเสื้อที่ถูกซ่อนมันไว้ในมุมเสื้อด้านใน จากนั้นพ่อหลี่ก็เปิดประตูห้องเก็บของได้ ดูเหมือนห้องนี้จะเป็นห้องเก็บสมบัติสำคัญของครอบครัวหลี่
ซูเหยาแสร้งทำเป็นร้องไห้สะอื้นต่อไป แต่ในใจกลับคำนวณอย่างเฉียบแหลม จำตำแหน่งห้องและกุญแจได้อย่างแม่นยำ เธอวางแผนในใจว่าจะกลับมาเอาของมีค่าจากครอบครัวหลี่ทั้งหมดในภายหลัง ให้สมกับที่พวกเขาไม่เคยคิดดีกับร่างเดิมเลย
พ่อหลี่เดินกลับมาพร้อมกำไลหยกธรรมดาๆ วงหนึ่ง วางมันลงในมือของซูเหยาอย่างไม่สนใจนัก
“นี่ก็พอแล้วกับลูกสาวไม่ได้เรื่องอย่างแก ไปเถอะ พวกเขารอแกอยู่หน้าบ้านนู่น”
"ขอบคุณค่ะ..." ซูเหยาตอบเสียงแผ่วพลางแอบยิ้มในใจ เธอรับกำไลมาและเดินออกจากบ้านไป
พอออกมาถึงลานหน้าบ้าน แม่จางกับพี่สะใภ้หลิวก็ยืนรออยู่ก่อนแล้ว หลิวหลิงมองซูเหยาด้วยสายตาเย้ยหยันและกอดอกด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ก่อนที่พ่อหลี่จะเดินตามออกมาประกาศต่อชาวบ้านที่ยืนมุงอยู่อย่างเป็นทางการ
“วันนี้ฉันขอตัดขาดซูเหยาอย่างเป็นทางการ ครอบครัวหลี่ไม่เกี่ยวข้องกับหล่อนอีกต่อไป!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากชาวบ้านที่เริ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์นี้ ซูเหยาเพียงแค่ยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มศีรษะให้เหมือนยอมรับชะตากรรม เธอเดินตามพวกทหารไปที่รถยนต์ของพวกเขา
ทหารกลุ่มนี้ไม่ได้ปฏิบัติต่อเธออย่างนักโทษเลยสักนิด พวกเขาดูสุภาพและให้เกียรติเธออยู่ไม่น้อย แต่จะเดาต่อไปก็เปลืองพื้นที่สมองเปล่า เธอเอาเวลาระหว่างรถยนต์เคลื่อนคิดถึงแผนการชีวิตของเธอนับจากหลุดพ้นจากสกุลหลี่เสียจะดีกว่า
