4
สกุลหลี่เหวอไปแล้ว
ชายแก่คนสุดท้ายในห้องพูดขึ้นอย่างพอใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหาย รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขาทำให้ซูเหยารู้สึกขยะแขยงจนกายขนลุก คำพูดของชายแก่คนสุดท้ายมันทำให้ครอบครัวหลี่กลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ในทันที
ชายคนเดิมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “ฉันอยากได้ผู้หญิงอย่างหนูนี่แหละ ซูเหยาน้อยของฉัน หากแต่งมาเป็นภรรยาของฉันแล้วฉันไม่จะไม่ทำให้หนูน้อยใจเลย หากหนูดื้อฉันจะปราบพยศหนูเอง อย่าได้น้อยใจไปเลยภรรยาของฉันตายไปแล้ว…”
ซูเหยานิ่งฟังคำพูดนั้น ดวงตาของเธอวาววับขึ้นมา เธอเคยผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่านี้มากนักในฐานะสายลับ ยิ่งเผชิญหน้ากับคนที่มั่นใจว่าตนเหนือกว่าเธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะเอาชนะพวกเขา สีหน้าเธอไม่ได้ดูหวั่นกลัวแต่กลับหยักยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าไม่แพ้กัน
“อย่างนั้นหรือคะ?”
เธอแสร้งยิ้มให้เขาก่อนจะหันไปหยิบแก้วชาขึ้นมาอีกครั้ง มือของเธอจับแก้วอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะปาแก้วกระเบื้องที่ดีที่สุดในบ้านหลี่ลงพื้นด้วยแรงของเธอจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงแก้วแตกดังลั่นทำให้ทุกคนในบ้านสะดุ้ง แม่จางและพ่อหลี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หน้าเปลี่ยนสีทันที ส่วนเว่ยจงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ถึงกับลุกขึ้นยืน แต่ซูเหยาไม่ให้โอกาสใครพูดอะไร เธอหยิบเศษแก้วชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างช้าๆ และเดินตรงไปหาชายชรา
ตาแก่คนสุดท้ายที่เคยดูมั่นใจเริ่มหวั่นใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามคุมสติ เขาพูดขึ้นอีกครั้ง
“หนะ หนูจะทำอะไร…?”
ซูเหยาไม่ตอบ แต่กลับทิ้งตัวลงนั่งที่ท้าวแขนเก้าอี้ของชายแก่คนนั้น ใกล้ชิดจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา เธอยิ้มบางๆ ก่อนจะใช้เศษแก้วชิ้นนั้นจ่อไปที่ลำคอของชายชราด้วยท่าทีอ่อนช้อย แต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว
“หากคุณชอบฉันจริงๆ ฉันก็ยินดีค่ะ” ซูเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งของเธอยกเท้าขึ้นมากดลงบนขาของชายชราอย่างดูหมิ่น “แต่คุณคงต้องรับมือกับ ความ ‘พยศ’ ของฉันให้ได้นะคะ เพราะถ้าคุณพลาดแม้แต่นิดเดียว...” ซูเหยากระชับเศษแก้วในมือ แนบเข้ากับคอของเขาเบาๆ จนเห็นหยาดเลือดซึมขึ้นมาเล็กน้อย
ตาแก่ที่เคยมั่นใจถึงกับนิ่งค้าง แววตาที่เคยดูโลภและกระหายตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาพยายามหายใจอย่างเงียบๆ ไม่ให้ตัวเองแสดงออกถึงความหวาดกลัว
“แก... แกกล้าทำกับฉันแบบนี้งั้นรึ!”
เขาพูดเสียงสั่น แต่พยายามคุมตัวเองไม่ให้สะทกสะท้านไปมากกว่านี้
ซูเหยาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างสง่างาม ดึงเศษแก้วออกจากคอของเขาช้าๆ ก่อนจะโยนมันลงพื้นเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ เธอหันไปมองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็นและน่ากลัว
“ฉันกล้ามากกว่าที่คุณคิดอีกค่ะ”
ชายชราไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างโกรธจัดกว่าชายาสองคนแรกเป็นไหน ๆ
“ฉันจะไม่สนแกแล้วแม้ว่าจะสวยสักแค่ไหน! จำไว้ให้ดี ครอบครัวหลี่ทำอะไรไว้กับฉัน ฉันจะไม่มีวันลืม!”
เขาพูดจบก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านหลี่ไป ทิ้งความเงียบงันและบรรยากาศอันหนักอึ้งไว้เบื้องหลัง
แม่จางและพ่อหลี่มองหน้ากันอย่างตกตะลึง เว่ยจงก็ยืนอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรดี เหตุการณ์นี้มันผิดคาดไปจากที่พวกเขาคาดหวังอย่างสิ้นเชิง ซูเหยาที่ยืนอยู่ตรงกลางห้องนั้นไม่ใช่คนหัวอ่อนที่พวกเขาเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว เธอกลายเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้เหมือนก่อนหน้านี้...
ซูเหยาหันไปมองพวกเขาทั้งสามคนด้วยสายตาเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกผิดที่ทำให้แผนการของพวกเขาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ร่างของหลิวหลิง พี่สะใภ้ของซูเหยา ที่เพิ่งหนีหลบออกไปเพราะความอับอายไม่อยากออกหน้าใครก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอเอื้อมมือขึ้นสูง ตั้งท่าจะตบหน้าซูเหยาด้วยความโกรธจัดอย่างที่มักทำเป็นประจำ
"นังเด็กบ้า! กล้าดียังไง—"
หลิวหลิงกรีดเสียงออกมา แต่ก่อนที่มือของเธอจะถึงหน้า ซูเหยากลับเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว มือของหลิวหลิงพลาดเป้าและเธอเสียการทรงตัว เซถลาลงกับพื้น
"ตุ้บ!"
ของร่างหลิวหลิงล้มลงไปทำให้ทุกคนในห้องเบิกตากว้าง แม่จางรีบวิ่งเข้ามาประคองลูกสะใภ้ขึ้นจากพื้น พ่อหลี่เองก็ยืนแข็งทื่อเหมือนยังไม่เชื่อสิ่งที่เห็น แต่เว่ยจงไม่รอช้า เขารีบพุ่งเข้ามาขวางระหว่างภรรยาตนเองและน้องสาวด้วยสีหน้าโกรธจัด
“ทำบ้าอะไร! ทำร้ายพี่สะใภ้ของตัวเองแบบนี้ มารยาทของแกหายไปไหนหมด!”
เว่ยจงตะคอกเสียงดัง หายใจถี่รัว สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่พุ่งตรงมาที่ซูเหยาอย่างไม่ปิดบัง
ซูเหยายืนนิ่ง สายตาเย็นชา เธอไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านต่อคำด่าของพี่ชาย ดวงตาของเธอสบกับสายตาของเขาอย่างไม่เกรงกลัว
"พี่สะใภ้หรือ? หึ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะทำร้าย ฉันก็มีสิทธิ์ป้องกันตัวเอง ทำไมหรอฉันต้องยอมรับความอยุติธรรมนี้อย่างที่ผ่านมาหรือไงกัน?"
เว่ยจงขบกรามแน่น เดินเข้ามาใกล้ซูเหยาด้วยความโมโห เขาพยายามกดข่มความโกรธแต่ก็ล้มเหลว
“ป้องกันตัว? แกกล้าอ้างป้องกันตัว ทั้งที่แกทำร้ายพี่สะใภ้ของตัวเองจนล้มไปอย่างนั้น! หึ นิสัยต่ำทรามนี่แกไปเอามาจากไหนกันล่ะ หายตัวไปตั้งสองปีไม่ติดต่อกลับมา คงไปเอามาจากในซ่องแน่!”
คำพูดนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอกของซูเหยา
"ซ่อง" ดังสะท้อนในหูเธอซ้ำๆ ความทรงจำที่ขาดหายไปของร่างนี้แวบเข้ามาในหัวแบบไม่ชัดเจน ภาพที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนซ้อนทับกันจนปวดหัวจี๊ด เธอเอามือกุมหัว พยายามข่มความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน
เธอต้องการเวลาที่จะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นของร่างเดิมนี้ การที่ความทรงจำโผล่ขึ้นมาก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย และตอนนี้ข้อเสียของมันกำลังทำพิษใส่เธอเสียแล้ว
“ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฟังกับพวกคุณที่ไม่เคยมองฉันเป็นคนในครอบครัว”
ซูเหยากลั้นใจพูดออกมาเสียงแข็ง ดวงตาจ้องไปยังเว่ยจงด้วยความเย็นชา “และอย่าคิดว่าคุณ… หรือใครก็ตามในบ้านนี้ จะสามารถใช้ฉันเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้ง่ายอย่างที่เคยทำอีกต่อไป ถ้ายังคิดจะใช้ฉันเพื่อผลประโยชน์อีก ก็เตรียมใจรับผลที่ตามมาด้วยก็แล้วกัน!”
เธอไม่รอให้เว่ยจงหรือใครพูดอะไรต่อ ซูเหยาหันหลังแล้วเดินกลับห้องของตัวเองทันที มือที่ยังสั่นเล็กน้อยรีบหมุนกลอนประตูล็อกอย่างแน่นหนา เมื่อเธอปิดประตูลงแล้ว เสียงหัวใจเต้นแรงและลมหายใจที่หอบถี่เริ่มผ่อนคลายลง
เธอเดินไปที่เตียงทิ้งตัวลง พยายามระงับความคิดที่สับสนในหัว ภาพความทรงจำแวบเข้ามาเป็นระลอก แต่ไม่ชัดเจนพอที่จะปะติดปะต่อได้
ซูเหยานอนหงาย หลับตาลงช้าๆ หายใจลึกอย่างใจเย็น เธอต้องพักผ่อน ต้องรวบรวมสติ และหาทางจัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้… ทั้งจากครอบครัวที่เห็นแก่ตัว และความทรงจำที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด
ร่างเดิมนี้หายไปไหนสองปีกันแน่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่เว่ยจงพูดจะมีความเกี่ยวข้องกับสองปีนั้น เพราะการตอบสนองของซูเหยาคนเดิมนี้มันรุนแรงจนต้องเก็บมาคำนึงต่ออย่างข้ามไม่ได้เลยล่ะ...
