ตอนที่ 4 หัวใจที่แตกสลาย
ตอนที่ 4
หัวใจที่แตกสลาย
“ร้องไห้”
เสียงเล็กแผ่วของ น้องอาโป ดังขึ้นกลางค่ำคืนอันเงียบเชียบ เด็กหญิงวัยใกล้หนึ่งขวบยังพูดได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่สายตาใสแจ๋วราวกับหยดน้ำคู่นั้นกลับจ้องมองผู้เป็นแม่อย่างเข้าใจอย่างน่าประหลาด ราวกับรู้ว่าหัวใจของมารดากำลังบอบช้ำเพียงใด
อัญพัชร์ เบือนหน้าหลบลูกอย่างรวดเร็ว ใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกแทบไม่ทัน ก่อนจะหันกลับมายิ้มบาง ๆ ให้ลูกสาวด้วยรอยยิ้มที่แสนจะฝืน
“ไม่ร้องหรอกลูกจ๋า แม่แค่... เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เสียงของเธอไม่หนักแน่น แหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน เธอไม่กล้าแม้แต่จะกอดลูกแน่น ๆ เพราะกลัวว่าน้องอาโปจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวของร่างกายและหัวใจที่ยังคงสั่นสะท้านไม่หยุด แรงสั่นไหวที่เกิดจากความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด
โลกที่เปลี่ยนไปโดยไม่มีเขาตั้งแต่วันนั้นที่เขาเดินจากไปอย่างเลือดเย็น โลกทั้งใบของเธอก็เปลี่ยนไปตลอดกาลอย่างที่ไม่อาจหวนกลับคืน บนตู้เสื้อผ้าฝั่งที่เคยเป็นของเขายังคงแขวนเสื้อเชิ้ตสีเทาตัวโปรดของธีร์วัตเอาไว้อย่างเดิม ราวกับรอคอยเจ้าของกลับมาสวมใส่ แก้วกาแฟที่เธอเคยล้างให้เขาเป็นประจำทุกวัน… ก็ยังคงวางคว่ำอยู่ในอ่างล้างจานอย่างโดดเดี่ยว หนังสือเล่มโปรดของเขาที่เขาอ่านค้างไว้ ก็ยังคงเปิดค้างอยู่ที่หน้าเดิม ราวกับเขาแค่แวะไปเดินเล่นหน้าบ้านแล้วจะกลับมาอ่านต่อในไม่ช้า แต่เธอรู้ดี... เขามีทางเลือกของเขา และเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว ไม่มีวัน
หลังจากคำขอหย่าที่แสนเย็นชาถูกเอ่ยออกมาจากปากของเขา เธอพยายามหลอกตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งว่านี่อาจเป็นเพียงการประชด หรือการทดสอบความรักของเธอ
แต่แล้วในวันต่อมา... ธีร์วัตกลับปรากฏตัวพร้อมกับเอกสารจริงจังที่มีลายเซ็นของเขาเรียบร้อยแล้ว โดยมีทนายความนั่งประกบอยู่ข้างกาย
“ถ้าคุณจะเซ็นวันนี้ ก็จบวันนี้”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ไร้อารมณ์ใด ๆ ขณะหลบสายตาเธออย่างตั้งใจ ราวกับไม่อยากให้เธอเห็นความรู้สึกบางอย่างที่อาจจะซ่อนอยู่ลึก ๆ ในดวงตาคู่นั้น
“หรือถ้ายังไม่พร้อม ผมจะกลับมาใหม่”
อัญพัชร์นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกที่เคยเป็นมุมอ่านหนังสือเล่มโปรดของเขา ทุกมุมห้องยังคงมีเศษเสี้ยวของความทรงจำเก่า ๆ ที่หลงเหลืออยู่ ข้างกายเธอคือลูกสาวตัวน้อยที่หลับพริ้มอยู่ในเบาะนอน เสียงหายใจสม่ำเสมอของลูกดังชัดเจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่คอยยึดเหนี่ยวให้เธอยังคงมีสติ
เธอก้มมองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า... กระดาษบาง ๆ เพียงแผ่นเดียวที่สามารถแทนคำว่า ‘จบ’ ได้อย่างเจ็บปวดลึกซึ้งกว่าคมมีดใด ๆ ในโลกนี้
แต่สุดท้าย... เธอก็เซ็นชื่อลงไปด้วยมือที่สั่นเทาจนแทบจับปากกาไม่อยู่ และหัวใจที่แตกร้าวเป็นเสี่ยง ๆ ไม่มีชิ้นดีเพียงลายเซ็นนั้น… เธอก็กลายเป็น “แม่เลี้ยงเดี่ยว” อย่างเป็นทางการในพริบตา
เธอพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะใช้ชีวิตให้ “ปกติ” ที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามทำทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่การที่ต้องล้างขวดนมเพียงลำพังตอนตีสาม ในขณะที่ลูกน้อยร้องไห้งอแง การที่ต้องแบกลูกไปหาหมอคนเดียวในวันที่ฝนตกหนักโดยไม่มีร่มกางให้ และการที่ต้องนั่งเงียบ ๆ กล่อมลูกในห้องนอนที่เงียบเกินไปจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของตัวเอง… ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้มันไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย
แต่เธอไม่เคยบ่น ไม่เคยปริปากพร่ำเพ้อ และไม่เคยฟูมฟายให้ใครเห็น มีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนที่เธอส่งให้ลูกสาวตัวน้อยในทุกเช้า แม้จะต้องนอนร้องไห้ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวทุกคืนก็ตาม
เพราะเธอกลัวว่า... หากเธออ่อนแอ หากเธอล้มลงในตอนนี้ ใครกันที่จะอุ้มลูกของเธอให้ลุกขึ้นมาเผชิญกับโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้
วันหนึ่งเธอออกไปตลาดสดใกล้บ้าน หอบลูกสาวไว้ในเป้อุ้มด้านหน้า มืออีกข้างหิ้วถุงนมผงกับผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ซื้อมาอย่างทุลักทุเล ขณะเดินผ่านหน้าร้านทองที่มักจะมีผู้คนพลุกพล่าน หญิงวัยกลางคนสองคนยืนกระซิบกระซาบกันเสียงเบา แต่เสียงของพวกเขากลับดังชัดเจนในหูของเธอ
“นั่นใช่คุณอัญเมียคุณธีร์หรือเปล่า?”
“ใช่สิ... แต่เขาหย่ากันแล้วนี่ เธอไม่รู้เหรอ”
“แหม... สงสารนะ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาอาจจะมีคนอื่นหรือเปล่า เขาถึงได้ทิ้งไปแบบนั้น”
อัญพัชร์เดินผ่านไปโดยไม่หยุดฟัง ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้า แต่หัวใจของเธอกลับเหมือนถูกมีดคมกริบกรีดบาดเป็นรอยยาวอีกครั้ง เธอพยายามจะไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น แต่ความสงสัยบางอย่างเริ่มกัดกินเงียบ ๆ ในใจ ว่า... เขาเปลี่ยนไปเพราะเหตุผลเดียวที่เขาบอกจริง ๆ หรือเปล่า หรือมีเหตุผลอื่นที่ซับซ้อนกว่านั้น
อัญพัชร์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเก่า ๆ ริมหน้าต่าง เขียนไดอารี่ประจำวัน เสียงปากกาขูดกับกระดาษในห้องที่เงียบเป็นพิเศษ เป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในความมืด
“ธีร์… วันนี้อาโปหัวเราะได้เสียงดังมากเลยค่ะ
ตอนเล่นตุ๊กตา… ลูกหัวเราะเหมือนคุณเปี๊ยบเลยรู้ไหมคะแล้วคุณล่ะ... คุณหัวเราะบ้างไหม?หรืออยู่คนเดียวจนเงียบเกินกว่าจะมีเสียงอะไรออกมาอีกแล้ว…”
เธอวางปากกาลงช้า ๆ ก้มจูบหน้าผากลูกสาวที่หลับพริ้มอยู่บนเตียง น้ำตาร้อน ๆ รินไหลออกมาอย่างช้า ๆ ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นใด ๆ
เธอยังคงรักเขา... รักมาก รักจนหัวใจเจ็บปวด แต่เธอจะไม่ร้องขอ... ไม่ถาม... และไม่ติดตามเขาอีกต่อไป
เพราะในวันที่เขาเลือกเดินออกไปจากชีวิตเธอแล้ว เธอก็รู้แล้วว่า… คนที่ไม่อยากอยู่ด้วยกัน ต่อให้รักมากแค่ไหนก็รั้งไว้ไม่ได้อยู่ดี
คืนนี้เธอฝันในความฝันนั้น เขานั่งอยู่ปลายเตียง กอดลูกสาวตัวน้อย และยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน มือของเขาอุ่นเหมือนวันแรกที่ได้กุมมือเธอไว้แน่น ๆ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา… บนเตียงก็มีเพียงลูกสาวที่หลับสนิทอยู่ข้างกาย และผ้าห่มที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของเธอเอง ในความฝัน เขายังอยู่... ยังคงมีตัวตนอยู่ข้างเธอเสมอ แต่ในความจริง เขาได้เดินจากไปไกลเกินกว่าที่เธอจะเรียกเขากลับคืนมาได้อีกแล้ว
