เมื่อรักต้องหย่า

23.0K · จบแล้ว
wayang
16
บท
632
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

อัญพัชร์ใช้ชีวิตหลังหย่า...ในบ้านหลังเดิมที่แสนเหงาเพราะเจ้าของบ้านอีกคนหายไป เธอยอมเซ็นใบหย่าให้เขา ตามที่เขาต้องการ แม้ใจจะเจ็บปวดเพราะไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตคู่ของเธอ เดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร สิ่งเดียวที่เธอคิดก็คือ ธีร์วัต หมดรักเธอกับลูกแล้วจริง ๆ

นิยายรักโรแมนติกนิยายปัจจุบันประธานเศรษฐีพาลูกกหนีมีลูกโรแมนติกดราม่ารักหวานๆ

ตอนที่ 1 ความรักที่กำลังจะพังทลาย

ตอนที่ 1

ความรักที่กำลังจะพังทลาย

เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ใสแจ๋วแว่วออกมาจากมุมเตียงขนาดคิงไซส์ภายในห้องนอนใหญ่บนชั้นสองของบ้านไม้สองชั้นสีขาวครีมหลังงาม แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าตรู่กำลังทอดตัวลอดผ่านผ้าม่านโปร่งบางสีขาวสะอาดตาเข้ามาอาบไล้ทั่วห้อง เคล้าคลอมาด้วยกลิ่นหอมละมุนของน้ำนมและแป้งเด็กที่อบอวลไปทั่วทุกอณู

“ยิ้มเก่งจริงเลยลูกแม่...”

เสียงหวานละมุนของ อัญพัชร์ พึมพำแผ่วเบา ขณะที่เจ้าตัวโน้มกายลงไปหอมแก้มนิ่ม ๆ ยุ้ย ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังดีดแขนขาป้อม ๆ ราวกับกำลังออกลีลาเต้นรำอย่างสนุกสนานอยู่ในอ้อมอกของเธอน้องอาโปลูกสาววัยสี่เดือนผู้เป็นแก้วตาดวงใจ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เป็นลมหายใจ และเป็นเหตุผลอันแสนวิเศษในการตื่นขึ้นมาเผชิญกับวันใหม่ในทุกเช้าของเธอ

ผิวพรรณเนียนละเอียดดุจหยดน้ำนมที่เพิ่งหลุดพ้นจากอกแม่ เสียงอ้อแอ้ที่เปล่งออกมาเป็นระยะราวกับกำลังพยายามจะสื่อสารบางอย่าง รอยยิ้ม ไร้เดียงสาที่ประดับอยู่บนใบหน้าจิ้มลิ้มของเจ้าตัวเล็กไม่ต่างจากยาวิเศษขนานเอกที่สามารถบรรเทา ความเหนื่อยล้าและความกังวลทุกอย่างที่สะสมอยู่ในหัวใจของคนเป็นแม่ให้มลายหายไปได้ทั้งหมด

“ไหน ปะป๊าของหนูอยู่ไหนน้า...”

อัญพัชร์เอ่ยยิ้ม ๆ ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ขณะค่อย ๆ ช้อนอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบชิดกับอก ก่อนจะหันสายตาอ่อนโยนไปมองชายหนุ่มที่กำลังยืนง่วนอยู่กับการจัดเนคไทให้เข้าที่หน้ากระจกบานสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

ธีร์วัตผู้เป็นสามี หันมาสบตาเธอพลางคลี่ยิ้มบาง ๆ แววตาคมกริบคู่นั้นยังคงเปี่ยมไปด้วย ความอบอุ่นเสมอ แม้จะสังเกตเห็นถึงร่องรอยของความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ภายใต้ดวงตาคู่นั้นก็ตาม

“หนูอาโปจะคิดถึงปะป๊าไหมเอ่ย” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ โน้มตัวลงหอมหน้าผากเล็ก ๆ กลมมนของลูกสาวอย่างแผ่วเบาด้วยความรักใคร่

“วันนี้ปะป๊าต้องไปประชุมถึงเย็นเลยนะครับคนเก่งของปะป๊า”

เด็กหญิงตัวน้อยขยับปากอ้อแอ้อย่างดีใจราวกับเข้าใจในสิ่งที่พ่อพูด นิ้วมือเล็ก ๆ อวบอ้วนยกขึ้นคว้าจับเนคไทของธีร์วัตไว้แน่นจนชายหนุ่มอดหัวเราะในลำคอไม่ได้ อัญพัชร์ยืนมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตหลังแต่งงานจะทำให้เธออบอุ่นและสมบูรณ์แบบได้ถึงเพียงนี้… การมีลูกสาวตัวน้อยที่น่ารักดุจดวงใจ มีสามีที่แสนดีและเข้าใจทุกอย่าง มีบ้านที่สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงและความฝันของทั้งคู่ ซึ่งทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยความรักและความทรงจำที่ดี

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เธอปรารถนาอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอนั้นสมบูรณ์แบบและเพียงพอแล้วจริง ๆ

อัญพัชร์เดินตามธีร์วัตลงมายังชั้นล่างของบ้านอย่างเงียบ ๆ ขณะที่เขากำลังเปิดกระเป๋าเอกสารหนังสีเข้ม หยิบขวดน้ำและกระติกกาแฟที่เธอเตรียมไว้ให้ใส่มันลงไปอย่างระมัดระวัง

“วันนี้อย่าลืมกินข้าวกลางวันนะคะ อย่าทำแต่งานจนลืมล่ะ เดี๋ยวจะปวดท้อง” เธอเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ครับผม” เขายิ้มรับคำ จูบหน้าผากของเธอแผ่วเบาแฝงไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่ในวินาทีนั้นเอง อัญพัชร์หารู้ไม่… ว่าในใจของธีร์วัต กำลังมีบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มหนักอึ้งจนยากเกินกว่าจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้

ในห้องทำงานอันเงียบสงัดของบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดกลางที่ผู้เป็นสามีเป็นเจ้าของ ซึ่งเคยเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต ธีร์วัตนั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้หัวโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์สะท้อนบนแผ่นเอกสารการเงินหนาเตอะที่เขากำลังใช้มือหนากดมันไว้แน่นจนแทบยับยู่ยี่ สีหน้าของเขาดูทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง บ่งบอกถึง ความเคร่งเครียดที่กำลังถาโถม

บัญชีหมุนเวียนของบริษัทติดลบกว่าเจ็ดหลักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หนี้ค้างชำระก้อนใหญ่จากลูกค้าที่บิดพลิ้ว โครงการสำคัญที่ล่มไม่เป็นท่าหลังจากเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ การฟ้องร้องจากบริษัทวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้รับเงินตามกำหนด ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกันราวกับพายุที่โหมกระหน่ำอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

เขาเคยเชื่อมาตลอดว่าเขาควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตได้ การงาน การเงิน ครอบครัว ทุกอย่างล้วนอยู่ในกำมือของเขามาตลอด

แต่ตอนนี้... ธีร์วัตกำลังยืนอยู่ริมปากเหวแห่งความล้มเหลว ลมหายใจของเขากำลังรวยรินเต็มที

ชายหนุ่มกวาดสายตาคมกริบมองไปยังสมุดบัญชีที่ยังพอมีเงินสำรองอยู่ไม่มากนัก ถัดไปเป็นเอกสารโฉนดบ้านที่เพิ่งถ่ายเอกสารเสร็จใหม่ ๆ มันเป็นโฉนดบ้านหลังนี้… บ้านที่เขาสร้างขึ้นด้วยน้ำมือ ความทุ่มเท และหยาดเหงื่อ เพื่ออัญพัชร์ผู้เป็นที่รักและลูกสาวตัวน้อยของเขา...

เขาจะยอมให้บ้านหลังนี้ถูกยึดไปไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องปกป้องมันไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

กลางดึกคืนนั้น ขณะที่อัญพัชร์กำลังกล่อม ลูกสาวที่เพิ่งตื่นขึ้นมางอแงให้กลับไปหลับอีกครั้งในอ้อมแขนอันอบอุ่นของเธอ เธอยังคงไม่ทันสังเกตเห็นว่าธีร์วัตกําลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียง มือของเขาสั่นระริกเล็กน้อยขณะที่ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องไปยังซองเอกสารสีน้ำตาลที่พับเก็บไว้อย่างดีภายในกระเป๋าเอกสารของเขา ซึ่งภายในนั้นคือ ใบหย่า ที่เขาเพิ่งดำเนินการเตรียมการไว้เมื่อบ่ายที่ผ่านมา

ในห้วงความคิดของเขา มีเพียงประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา “เราต้องออกไปก่อนที่ทุกอย่างจะล่มสลาย… ต้องรักษาพวกเขาไว้… ต้องปกป้องพวกเขา… แม้เราจะไม่มีสิทธิ์อยู่ข้าง ๆ พวกเขาแล้วก็ตาม”

เช้าวันรุ่งขึ้น

อัญพัชร์เดินลงมาจากบันไดไม้พร้อมกับชุดอยู่บ้านสบาย ๆ เธออุ้มอาโปที่หลับปุ๋ยคาอกเอาผ้าอ้อมเปื้อนไปซักตามปกติ ทว่าจู่ ๆ เธอก็ต้องสะดุดกึกกับถ้อยคำหนึ่งที่สามีเอ่ยขึ้นมาโดยไม่ได้สบตาเธอเลยแม้แต่น้อย

“เราคุยกันหน่อยได้ไหม…”

ประโยคสั้น ๆ ประโยคนั้น... มันเป็นประโยคที่จุดประกายแห่งความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอ เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่อัญพัชร์จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต มันสั่นสะท้านในห้วงอารมณ์

เสียงลมหายใจแผ่ว ๆ สม่ำเสมอของน้องอาโปยังคงดังเป็นจังหวะอยู่ในอ้อมแขนของอัญพัชร์

แต่ทว่าหัวใจของหญิงสาว... กลับเริ่มสั่นสะท้านอย่างไม่มีคำอธิบายใด ๆ ได้

เธอมองหน้าธีร์วัตที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบ สีหน้าของเขาดูเรียบเย็นชาเสียจนราวกับไม่ใช่คนที่เธอคุ้นเคย ไม่ใช่สามีที่เคยโอบกอดเธอด้วยความรักและความอบอุ่นทุกคืน

ในใจของเธอมีเพียงความหวังเดียวที่ยังคงภาวนา... ขอให้ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้าย ขอให้เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

แต่เธอหารู้ไม่เลย ว่าฝันร้ายที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในวันพรุ่งนี้...