ตอนที่ 5 ยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง
ตอนที่ 5
ยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง
แสงเช้าอ่อน ๆ สีส้มอมทองค่อย ๆ ลอดผ่านผ้าม่านโปร่งบางสีครีมเข้ามาอาบไล้ทั่วห้องนอนใหญ่ มันตกกระทบลงบนผ้าห่มลายดาวสีอ่อนที่คลุมร่างของแม่ลูกคู่นั้นอย่างอบอุ่น เสียงนาฬิกาปลุกดิจิทัลดังแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้อัญพัชร์ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนล้า
หญิงสาวเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะหันไปมองใบหน้าเล็ก ๆ อิ่มเอิบของ น้องอาโป ที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบ
เด็กหญิงกำลังดูดนิ้วโป้งตัวเองอย่างเคยชิน หายใจฟืดฟาดเบา ๆ อย่างไร้เดียงสา ช่างเป็นภาพที่น่าเอ็นดูเสียจนหัวใจของคนเป็นแม่ละลาย
เธอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ทั้งที่ใต้ตาของเธอยังคงคล้ำเป็นแพนด้าจากการนอนไม่พออย่างต่อเนื่อง เพราะคืนนี้เป็นคืนที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ลูกสาวร้องไห้งอแงตอนดึก และไม่มีใครเลยที่จะช่วยเธอปลอบโยนลูกสาวให้หลับลงได้
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
“แม่ไม่เป็นไรหรอกลูกจ๋า... ถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหน แต่แค่เห็นหนูยิ้มได้ แม่ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วนะ”
เสียงกระซิบของเธอเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เธอพูดคำนี้กับลูกทุกเช้า พูดเพื่อปลอบประโลมลูก... และพูดเพื่อปลอบประโลมตัวเองให้มีแรงก้าวต่อไป
หลังอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกสาวตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว อัญพัชร์พาน้องอาโปลงมาเล่นในคอกเด็กขนาดกะทัดรัดที่วางอยู่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น ขณะเดียวกัน เธอก็เปิดแล็ปท็อปเครื่องเก่าที่เคยใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเธอตั้งใจจะใช้มันสานต่อความฝันที่ค้างคาไว้ตั้งแต่ก่อนคลอด
“เปิดร้านเบอเกอรี่ออนไลน์”
เธอเคยวาดฝันไว้ตั้งแต่ตอนท้องใหม่ ๆ ว่าจะทำขนมขายเล็ก ๆ น้อย ๆ จากครัวในบ้าน ตอนนั้นธีร์วัตยังคงอยู่ข้าง ๆ และบอกกับเธออย่างเต็มไปด้วยความรักว่า “เดี๋ยวจะต่อเติมครัวให้นะ อัญจะได้ทำงานสบาย ๆ”
...แต่ตอนนี้ ไม่มีเขาอีกแล้ว เขาหายไปจากชีวิตเธอแล้วจริง ๆ
กระนั้น เธอก็ไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ เพราะตอนนี้ เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป...แต่เธอทำเพื่อลูก เพื่อสายใยอันบริสุทธิ์ที่ต้องกินนมทุกวัน ต้องใช้ผ้าอ้อม ต้องเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงและเข้มแข็ง
ช่วงบ่าย อัญพัชร์ผูกผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้น่ารัก เตรียมอุปกรณ์ทำขนม นำกล่องแป้งกับเนยคุณภาพดีออกมาวางบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ เสียงหัวเราะสดใสของน้องอาโปดังเจื้อยแจ้วมาจากคอกเด็กด้านหลัง ลูกน้อยกำลังเล่นตุ๊กตาสัตว์นุ่มนิ่มที่เธอเย็บเองกับมือเมื่อเดือนก่อนอย่างสนุกสนาน
อัญพัชร์เริ่มร่อนแป้งอย่างตั้งใจและพิถีพิถัน ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อนอบอ้าวและเหงื่อที่ไหลซึมลงมาตามหลังคอ กลิ่นเนยหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อเธอใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการอบคุกกี้หนึ่งถาดจนเหลืองกรอบน่ารับประทาน
เมื่อนำคุกกี้ออกจากเตา เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เพราะนี่คือความสำเร็จครั้งแรกของเธอในฐานะผู้หญิงที่ไม่มีสามีคอยเคียงข้างอีกต่อไป ความสำเร็จที่มาจากความพยายามและน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง
เธอถ่ายภาพสินค้าด้วยกล้องมือถือธรรมดาที่ไม่ได้มีฟังก์ชันอะไรพิเศษนัก ตั้งชื่อเพจว่าอบอุ่นจากเตาแม่ก่อนจะโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียด้วยคำโปรยเรียบง่ายแต่กินใจว่า
“เบเกอรี่โฮมเมดจากแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้ตั้งใจให้ทุกคำเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น”
เธอไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แค่ขอให้มีคนสั่งสักหนึ่งกล่อง ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับความพยายามของเธอในวันนี้แล้ว
คืนนั้น... ลูกสาวหลับสนิทหลังอาบน้ำและดื่มนมจนอิ่ม อัญพัชร์นั่งมองมือถือที่วางอยู่ข้างหมอนอย่างเงียบงัน ไม่มีข้อความใหม่ ไม่มีสายที่ไม่ได้รับจากเขาแม้แต่สายเดียวแต่เธอกลับพูดขึ้นเบา ๆ เหมือนเขายังคงนั่งอยู่ปลายเตียงตรงนั้นอย่างที่เคยเป็น
“วันนี้แม่ขายคุกกี้ได้ตั้งหกกล่องเลยนะ... ธีร์... ถ้าคุณอยู่ คุณคงจะยิ้มดีใจใช่ไหมคะ”
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกาย ก่อนเสียงสะอื้นจะดังขึ้น… แผ่วเบา แต่ยากที่จะกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
“คุณรู้ไหม ว่าการไม่มีคุณ... มันเจ็บปวดมากแค่ไหน”
เธอเอาหน้าซบเข่าตัวเอง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่ห้ามปราม เพราะเธอรู้ว่า... เธอไม่สามารถแสร้งทำเป็นเข้มแข็งได้ตลอดเวลา บางคืน เธอก็แค่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่โหยหาคนรัก โหยหาอ้อมกอดที่คุ้นเคย... ไม่ใช่แค่แม่ของใครอีกต่อไป
ธีร์วัตนั่งพิงกำแพงอิฐที่ปูนแตกร้าวภายในห้องพักแคบ ๆ เก่า ๆ ที่เขาเช่าอยู่ กล่องข้าวพลาสติกที่บรรจุอาหารเย็นวางอยู่ข้างตัว เขากินไปได้เพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกว่าไม่มีแรงจะกินต่อไป
เขาเปิดมือถือเครื่องเก่าขึ้นมาอีกครั้ง เลื่อนเข้าไปในเพจเฟซบุ๊กที่เพิ่งตั้งใหม่ชื่อ “อบอุ่นจากเตาแม่”
เมื่อเขาเห็นชื่อผู้ตั้งเพจ… หัวใจของเขากระตุกแรงอย่างเจ็บปวด อัญพัชร์...
เขาเห็นภาพลูกสาวตัวน้อยกำลังยิ้มอยู่ในเบาะอย่างสดใส เห็นมือเรียวสวยของอัญพัชร์ที่จับถาดคุกกี้ด้วยความภาคภูมิใจ และข้อความที่เธอโพสต์ว่า
“ขอบคุณลูกค้าทุกท่านนะคะ... แม่จะพยายามให้มากกว่านี้อีก”
มือของเขาสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในอก
“อัญ... เธอเก่งที่สุดแล้ว...”
เขาก้มหน้าลง ซบฝ่ามือตัวเอง น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงใส่หน้าจอมือถืออย่างเงียบงัน
เขาอยากกลับไปหาเธอเหลือเกิน... อยากกลับไปโอบกอดเธอและลูกสาว อยากบอกเธอว่าเขายังรักเธอมากแค่ไหน
แต่เขายังไม่มีอะไรดีพอจะกลับไปได้เลย เขาต้องสร้างตัว ต้องลุกขึ้นมาให้ได้ เขากลัวว่าเมื่อกลับไป… เขาจะกลับไปพร้อมกับความล้มเหลวที่จะฉุดให้เธอและลูกจมดิ่งไปกับเขาอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น
เพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นอัญพัชร์กำลังวางของส่งลูกค้าอยู่หน้าบ้าน อีกคนยกนิ้วโป้งให้เธอพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมว่า
“เก่งจังเลยนะคะคุณอัญ… อยู่คนเดียว ยังเลี้ยงลูกได้ แถมยังทำงานสร้างตัวได้อีก”
“สู้ ๆ นะคะคนเก่ง”
เธอยิ้มตอบ ขอบคุณเบา ๆ แต่ในใจ... กลับมีบางอย่างอุ่นวาบขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ มันคือความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง
แม้จะยังเจ็บปวด แม้จะยังต้องร้องไห้ยามค่ำคืน แต่เธอกำลังยืนได้อีกครั้ง...เพื่อลูก เพื่อชีวิตที่เหลืออยู่และ... เพื่อวันที่เขาอาจจะกลับมา หรือแม้จะไม่กลับมาอีกเลย... เธอก็จะไม่ยอมล้มลงอีกเด็ดขาด
