บทที่ 13 เรื่องราวของเขา
"ตายแล้ว! แค่มาแจ้งก็พอค่ะ ไม่ต้องพาคนไข้มาด้วยแบบนี้" คุณพยาบาลจบใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ขาว หมวย สวย ตัวเล็ก อุทานพร้อมกับเอามือทาบอก เมื่อหันมาเห็นสีหน้าคล้ายจะสิ้นชีพของก้อนดิน
"ผมกลัวคุณพยาบาลจะไม่เชื่อว่าน้ำเกลือหมด เลยพาพี่เค้ามาด้วยครับ นี่เค้าจะตายเลยเหรอครับ!?" นายนัสถามสีหน้าจริงจังคร่ำเครียด จนดูไม่ออกว่าเขาแกล้งพูดเล่น หรือเชื่อแบบนั้นจริงๆ
"ไม่ค่ะ ไม่ได้ตาย แต่ที่ใส่เฝือกไว้จะอักเสบนะคะ พาเดินมาแบบนี้" คุณพยาบาลพูดพร้อมกับรีบเข็นวีลแชร์มาให้ก้อนดินนั่งกลับห้อง
"อ๋อ โอเคครับ ผมเห็นคุณพยาบาลร้องว่าตายแล้ว นึกว่าพี่ชายผมจะอายุสั้น" นัสทำท่าโล่งใจ จนก้อนดินนึกหมั่นไส้ อยากยันโครมรุ่นน้องไปจูบเสาต้นใหญ่ที่สุดกลางโถงโรงพยาบาล แต่ติดตรงที่ทำไม่ได้
และแล้วก้อนดินก็ได้กลับมานอนดูน้ำเกลือเต็มขวดอยู่ที่ห้องพักฟื้นสมใจ โดยมีรุ่นน้องตัวป่วนตามมากวนบาทาอยู่ข้างเตียง
"ส้มนี่หวานดีนะครับพี่ก้อน แม่ค้าน่ารักด้วย" นัสแกะส้มที่เขาซื้อมาเป็นของเยี่ยมก้อนดินขึ้นมากินทีละกลีบ พลางอวดสรรพคุณจนน้ำส้มกระเด็นใส่ผ้าห่มโรงพยาบาล
"ตกลงแกซื้อส้มมาฝากพี่ หรือซื้อมากินให้พี่ดูฟะไอ้นัส?" ก้อนดินอดสงสัยไม่ได้
"ก็พี่เจเจบอกผมว่าพี่ก้อนไม่กินส้ม" นัสตอบคำถาม โดยที่ยังแกะส้มกินไม่หยุด
"ใช่ ก็แล้วทำไมแกไม่ซื้ออย่างอื่นมาเยี่ยมล่ะ?" คราวนี้ชายหนุ่มตั้งคำถามระคนตัดพ้อ แกมสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งให้เขาอกแตกตาย จะได้ไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาชนรถ
"ก็แหม... แม่ค้าสวย ผมก็ดันหลวมตัวซื้อส้มไปแล้วด้วย จะซื้ออย่างอื่น ตังค์ผมก็ไม่มีละ" นัสทำตาละห้อยให้ก้อนดินดูประกอบคำพูดรันทดท้ายประโยค ทั้งที่มือยังแกะส้มลูกใหม่
"นี่ก็ตังค์ไม่มีเหมือนกัน เดือนนี้ยังขายเครื่องกรองน้ำไม่ได้เลย สภาพแบบนี้คงทำงานไม่ได้อย่างต่ำก็ 3 เดือน" ก้อนดินส่ายหน้าให้กับคราวเคราะห์ของตัวเอง
"พี่ยังดีมีข้าวโรงบาลกิน" นัสโพล่งออกมาแบบไม่คิด จนเกือบโดนเฝือกแขนของก้อนดินเขกกะโหลกสั่งสอน
"นอนห้องพิเศษนี่ก็ต้องจ่ายค่าห้อง แกคิดว่าประกันสังคมออกให้หมดหรือไง จะนอนห้องรวม แม่งก็ห้องเต็ม หรือแกคิดว่าสบาย ลองมานอนดูบ้างไหม" ก้อนดินเริ่มโมโหคำพูดประเภทแกว่งปากหาส้นของนัสขึ้นมาจริงๆ
"ไม่เอาครับ ขอโทษครับพี่ก้อน ผมลาล่ะคร้าบ" นัสยกมือไหว้ปะหลกๆ แล้วรีบเก็บส้มที่เหลือใส่ถุง ก่อนจะทำท่ากราบลา พร้อมกับถอยหลังออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
...เวลานี้จึงเหลือแค่ก้อนดินที่นั่งมองเฝือกแขนสลับกับเฝือกขาของตัวเอง อยู่ในห้องเงียบๆ เพียงคนเดียว
"ค่าห้องที่ต้องจ่ายวันละพันสี่ ถ้าขอหมออยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็คงยังไม่ต้องไปถอนตังค์ เพราะมาม่ายังเหลือ" ชายหนุ่มพึมพำ พลางถอนหายใจหนักๆ ปิดท้าย กว่าจะถอดเฝือกได้ เขาคงต้องกดเงินที่เก็บออมไว้มาใช้จนหมด
...ไหนจะค่ามาม่า ค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ แถมเดือนนี้ยังหาเงินค่าคอมมิชชั่นไม่ได้สักบาท
"ยินดีด้วยนะ นายผ่านช่วงทดลองงานแล้ว ต่อจากนี้ก็ตั้งใจทำงานให้มากๆ ล่ะ ขายเครื่องกรองน้ำให้ได้เยอะๆ จะได้กินหรูอยู่สบายเหมือนพวกรุ่นพี่เค้า อ้อ! ลืมบอกไป เงินเดือนที่ทางบริษัทเคยจ่ายช่วงทดลองงานห้าพัน เราจะลดลงเหลือสามพันนะ"
คำพูดของผู้จัดการฝ่ายขายยังดังก้องอยู่ในหัวของก้อนดิน ทั้งที่นั่นมันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว อาชีพเซลล์ที่ใครๆ มองว่ากินดีอยู่ดี มีเงินใช้ไม่ขาดมือ สำหรับก้อนดิน มันช่างลุ่มๆ ดอนๆ บางเดือนเหมือนเศรษฐี แต่บางทีก็เหมือนยาจก
... หึ! นี่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่า ผู้จัดการจะทำยังไงกับพนักงานขายที่ต้องนอนเกาเฝือกอยู่บ้านเฉยๆ 3 เดือนอย่างเขา
แอ๊ดดดดด...
เสียงเปิดประตูห้องพักฟื้นดังเร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง และปลุกก้อนดินให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ให้หันไปมองเจ้าของเสียงฝีเท้าหลายเสียงที่กำลังเดินเข้ามา... ใกล้เข้ามา...
"เป็นยังไงบ้างเซลล์ก้อน โห... เจ็บหนักเลยนะนี่" ชายวัยกลางคนในชุดสูทเต็มยศ ผู้นิยมหวีผมปัดซ้าย เดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียงคนไข้ พร้อมกับมองสภาพอันน่าเวทนาของก้อนดินด้วยสายตาอันอ่อนโยนชวนขนลุกแปลกๆ
"เอ่อ... ครับ ก็... หนักพอควรครับผู้จัดการ ผมกำลังจะขายเครื่องกรองน้ำได้อยู่แล้วเชียว ขอโทษจริงๆ ครับ" ก้อนดินโกหกคำโตพลางยิ้มอ่อนให้อีกฝ่าย ซึ่งเอื้อมมือมาแตะเฝือกแขนของเขา ในหัวใจของชายหนุ่มกำลังภาวนาให้ผีห่าซาตานตนไหนก็ได้ ดลจิตดลใจผู้จัดการผมปัดซ้ายให้พูดถึงค่าชดเชย ไม่ก็เงินประกันอุบัติเหตุที่ทางบริษัทควรจะทำไว้ให้พนักงานทุกคน
"รักษาตัวให้หายดี แล้วค่อยกลับมาขายก็ได้นะเซลล์ก้อน ไม่ต้องห่วง... บริษัทเรารอได้ คนมีความสามารถอย่างเซลล์ก้อนหายากจะตาย"
ทั้งมือหนาที่กำลังลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน และน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเมตตาอันเปี่ยมล้น จนแทบจะมีรัศมีสีทองพวยพุ่งออกมาจากศีรษะกลมๆ ที่มีผมแปะอยู่ของผู้จัดการฝ่ายขาย ไม่ได้ช่วยให้ก้อนดินรู้สึกดีขึ้นเลย ชายหนุ่มยังคงภาวนาให้อีกฝ่ายพูดถึงเงินชดเชย เงินประกัน เงินเบี้ยเลี้ยง หรือเงินอะไรก็ได้ที่เขาควรจะได้มาไว้กินไว้ใช้ในช่วงที่ยังมีเฝือกหนักๆ ถ่วงแขนถ่วงขา... พูดเซ่... พูดเซ่... พูดสิเฟ้ยยยย!!
แอ๊ดดดดด...
เสียงเร้าใจดังขึ้นอีกครั้ง ชวนให้ก้อนดินใจเต้นตึกตัก ไม่แน่ว่าคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามา อาจเป็นพนักงานบริษัทประกันที่นำเงินชดเชยมามอบให้เขาก็ได้
"ผู้จัดการให้พี่ไปหากระเช้าผลไม้มาเยี่ยมไข้น้องก้อนจ้ะ น้องก้อนจะได้แข็งแรงไวๆ" เลขาตัวกลมในชุดสูทแบบผู้หญิงอันเป็นยูนิฟอร์มบริษัท ผู้มีอายุอานามพอๆ กันกับผู้จัดการ ส่งยิ้มตราตรึงใจให้น้องก้อน พร้อมกับวางกระเช้าส้มนานาชาติไว้บนโต๊ะภายในห้องพักฟื้น
...นี่ถ้าลุกขึ้นได้ล่ะก็ ก้อนดินคงอาละวาดฉีกส้มกินให้มันรู้แล้วรู้รอด
"เอ่อ... ขอบคุณครับ" ก้อนดินยิ้มอ่อนลงทุกทีๆ ความหวังในการได้เงินชดเชยของเขานั้น ริบหรี่จวนเจียนจะมอดดับ แต่แล้วตอนนั้นเอง...
แอ๊ดดดดด...
เสียงเร้าใจดังขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ทำเอาหัวใจของก้อนดินเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง... ใช่ไหม... จะใช่ไหม... อ๊ากกกกก!! จะใช่พนักงานบริษัทประกันรึเปล่า!?
"ขออนุญาตวัดความดันค่ะ"
ในที่สุดความหวังสุดท้ายของก้อนดิน ก็พังทลายลงในพริบตา เมื่อคนที่เข้ามากลับกลายเป็นพยาบาลวัยกลางคนคนเดิมคนเก่า คนที่เขาเคยเฝ้ารอมานานหลายชั่วโมง หาใช่พนักงานบริษัทประกันไม่
"ลูกน้องผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันไหนครับ?" ผู้จัดการผมปัดซ้ายหันไปถามคุณพยาบาล ซึ่งกำลังวัดความดันให้คนไข้ผู้อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
"ยังตอบไม่ได้ค่ะ เพราะว่าขาที่ใส่เฝือกไว้เป็นแผลค่อนข้างใหญ่ คุณหมออาจจะต้องพิจารณาตัดเฝือกเพื่อล้างแผล"
คำตอบของคุณพยาบาลทำเอาก้อนดินนอนสงบนิ่งไปด้วยอาการช็อกกับสิ่งที่ได้ยิน นอกจากใส่เฝือกแขนเฝือกขาแล้ว เขายังต้องตัดเฝือกออกมาล้างแผลทุกวันด้วยเรอะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันฟะเนี่ยยยยย!!
"แปลว่าต้องตัดเฝือกล้างแผลจนครบ 7 วันเลยใช่ไหมครับ?" คุณผู้จัดการตั้งคำถามแทนก้อนดินซึ่งได้แต่นอนไว้อาลัยให้ชีวิต โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อทั้งนั้น เขากลัว... กลัวจะได้ยินเรื่องเลวร้ายที่หนักหนากว่าสิ่งที่เห็น
"ถ้าแผลแห้งก็ล้างแผลแค่ 7 วันค่ะ" คุณพยาบาลพูดจบก็ออกจากห้องไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เธอคงไม่รู้หรอกว่าตัวเองได้ทิ้งทุ่นระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้คนข้างหลังตายหมู่กันถ้วนทั่ว
"เอ่อ... น้องก้อน... ไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอกนะ ยังไงบริษัทเราก็ยังรอน้องก้อนกลับไปทำงานนะ" คุณเลขาตัวกลมแตะเฝือกปลอบโยนก้อนดิน ซึ่งบัดนี้นอนนิ่งเป็นก้อนหินไปแล้ว
"ใช่ไหมคะผู้จัดการ?" เธอหันไปขอเสียงสนับสนุนจากคนผมปัดซ้าย เพื่อให้เขาช่วยปลอบประโลมก้อนดินอีกคน
"เอ่อ... เซลล์ก้อน ยังไงบริษัทเราก็ยินดีต้อนรับเซลล์ก้อนเสมอนะ หายเมื่อไหร่ก็กลับไปสมัครได้ตลอด"
คำพูดแปลกๆ ของผู้จัดการฝ่ายขายบ่งบอกชะตากรรมของก้อนดินเป็นอย่างดี เขาถูกชายผมปัดซ้ายให้ออกจากงาน และจะมีการประกาศรับสมัครเซลล์ใหม่แน่นอน มัน... เป็นคนละความหมายกับที่คุณเลขาพูด
"ครับ... ขอบคุณครับ" ก้อนดินตอบรับด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง และกว่าที่เขาจะรู้ตัว ทั้งคู่ก็ออกไปจากห้องแล้ว
"ซวยซ้ำซวยซ้อนของแท้เลยทีนี้" ชายหนุ่มพึมพำให้กับชะตาชีวิตที่พลิกผัน ก่อนหน้านี้เขายังได้รับคำชมเกี่ยวกับยอดขายที่พุ่งแซงหน้ารุ่นพี่อยู่เลย
"พวกคุณอายไหม ที่รุ่นน้องเข้ามาใหม่ดันได้ยอดขายมากกว่าพวกคุณตั้งเท่านึง ตั้งใจทำงานกันหน่อย อย่างน้อยก็ควรจะให้มันได้สักครึ่งนึงของเซลล์ก้อน"
ก็นั่นแหละ... สาเหตุที่ไม่มีรุ่นพี่คนไหนมาเยี่ยมเขายังไงล่ะ
"เฮ้ย! ก้อน เลิกงานแล้วไปไหนเปล่าฟะ ไปร้องเกะกัน เดี๋ยวเพ่เลี้ยงเอง"
"ก้อน! ไปกินหมูทะกันเปล่า วันนี้รวยเฟ้ย เดี๋ยวเลี้ยงๆ ปะ ไปกินเป็นเพื่อนหน่อย"
"พี่ก้อน! สุขสันต์วันเกิดนะคร้าบ ถึงของขวัญจะกล่องเล็ก แต่ข้างในเด็ดนะจะบอกให้"
ความทรงจำของก้อนดินย้อนกลับไปยังวันวาน ในตอนที่เขายังทำงานอยู่ที่เก่า พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ล้วนรักใคร่ อบอุ่น เป็นอันหนึ่งอันเดียว แม้วันๆ นึงเราจะมีเงินผ่านมือหลักล้าน แม้จะต้องเวียนกันกำจัดของที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่บนโลก และแม้มือของพวกเขาอาจต้องเปรอะเปื้อนไปบ้างในบางวัน ทว่ามันก็ทำให้เขารู้สึกว่าความสุขบนโลกใบนี้นั้นมัน... มีอยู่จริง
เขา... คิดถึงคืนวันเหล่านั้นเหลือเกิน
"ถอดเฝือกแล้วเจอกันนะ... ทุกคน" ชายหนุ่มพึมพำยิ้มๆ แต่แล้วตอนนั้นเอง...
"ข่าวด่วนค่ะ! เกิดเพลิงไหม้ร้านสะดวกซื้อย่าน..."
เสียงรายงานข่าวในทีวีเรียกให้ก้อนดินเงยหน้าขึ้นมองภาพที่กำลังเคลื่อนไหว มันทำให้เขาเบิกตากว้าง หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อพบว่าร้านสะดวกซื้อในข่าว คือที่ที่เขาตั้งใจจะกลับไป!!
