บทที่ 7 เตรียมขึ้นเขา
ยามเช้ามืดเสวี่ยหมิ่นตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะเข้าครัวทำอาหาร วัตถุดิบก็เหลือแค่ข้าวสาร คงทำได้เพียงแค่ต้มโจ๊กเหมือนเมื่อวานแล้ว
หญิงสาวจุดเตาไฟก่อนจะเอาข้าวใส่หม้อใส่น้ำมาตั้งบนเตา ที่เธอต้องตื่นก่อนทุกคนแล้วมาทำอาหาร ไม่ใช่ว่าเธอนึกขยันหรอกนะ หากเธอไม่ทำแบบนี้หลินหลินกับเธอก็คงไม่ได้กินข้าวอิ่มเป็นแน่
พอเสวี่ยหมิ่นต้มโจ๊กเสร็จก็รีบเอาถ้วยมาตักเอาไว้ก่อนจะนำไปซ่อน
"รู้หน้าที่ดีนี่ ไม่ต้องให้ฉันไปเรียกมาหุงข้าว" แม่หวังเปิดประตูเดินออกมาเห็นลูกสะใภ้คนโตกำลังทำอาหารก็พูดออกมาด้วยความพอใจก่อนจะเดินเลยไปเข้าห้องน้ำ
เสวี่ยหมิ่นยกหม้อโจ๊กลงจากเตาก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ลูกสาวยังคงหลับอยู่ แต่หวังชิงตื่นนอนเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไป หญิงสาวคิดว่าเขาคงจะไปล้างหน้า
ไม่นานชายหนุ่มก็กลับเข้ามาเปลี่ยนไปใส่ชุดทำงาน
"วันนี้ฉันว่าจะขึ้นเขาไปเก็บผักสักหน่อย เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีอะไรกิน" หญิงสาวเอ่ยบอกกับสามี จะให้เธอกินแต่ต้มโจ๊กก็ไม่ไหวหรอกนะ ถ้ายังได้กินผัดผักบ้างก็ยังดี
"ให้น้องสะใภ้เล็กไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน" หวังชิงไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากภรรยา เพราะก่อนหน้านี้หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจที่จะขึ้นเขาไปหาของป่าเลยสักครั้งเดียว ในเมื่อครั้งนี้หญิงสาวเอ่ยปากว่าอยากไป เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ให้หญิงสาวชวนเจียงซินหยูไปเป็นเพื่อน
"ฉันไม่รบกวนน้องสะใภ้เล็กดีกว่าค่ะ ฉันไปคนเดียวได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าฉันจะเดินหลงป่าจนกลับบ้านไม่ได้"
"ผมไม่ได้กลัวว่าคุณจะเดินหลงป่าจนกลับบ้านไม่ได้ แต่กลัวว่าคุณจะไปทำเรื่องไม่ดีนอกบ้านให้สามีอย่างผมต้องอับอายเสียมากกว่า" ชายหนุ่มเอ่ยว่าหญิงสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คนที่ได้ฟังอย่างเสวี่ยหมิ่นอยากจะร้องกรี๊ดออกมาให้ดังลั่น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายยุคนี้จะปากคอเราะรายยิ่งเสียกว่าผู้หญิงซะอีก
"ไม่ต้องกลัวเรื่องว่าฉันจะไปนัดพบกับผู้ชายคนอื่นหรือสวมเขาให้กับคุณหรอกนะ เพราะถ้าฉันมีคนที่ชอบจริงๆ ฉันจะขอหย่ากับคุณเสียก่อน"
"ก่อนหน้านี้คุณอยากจับผมทำสามีจนตัวสั่น ทำไมตอนนี้ถึงมีความคิดที่อยากจะหย่ากับผมซะแล้วล่ะ" ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักหญิงสาว แต่ในสมองของเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะหย่ามาก่อน ในเมื่อมีลูกด้วยกันแล้วก็ต้องอยู่กันไปแบบนี้แหละ
"ตอนนั้นมันอาจเป็นความคิดแค่ชั่ววูบของฉันก็ได้ที่อยากจะจับคุณทำสามี แต่มาคิดดูตอนนี้แล้ว ฉันอยากจะย้อนเวลากลับไปเสียเหลือเกิน"
"อย่าคิดเลยว่าผมจะหย่าให้คุณไปแต่งงานใหม่ เลิกคิดอะไรไร้สาระแบบนี้เถอะ" ชายหนุ่มเอ่ยบอกจบก็เปิดประตูเดินออกไปนอกห้องอย่างหัวเสีย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องอารมณ์ไม่ดีเมื่อได้ยินหญิงสาวอยากจะไปจากชีวิตของเขา เขาแน่ใจว่าตนเองนั้นไม่ได้รักเสวี่ยหมิ่นอย่างแน่นอน
ภายในห้องนอนที่ขนาดไม่ใหญ่นัก บนเตียงมีชายหนุ่มร่างหนากับเด็กทั้งสองคนกำลังนอนหลับอยู่อย่างมีความสุข
"คุณคะ เตรียมตัวไปทำงานได้แล้วค่ะ" เจียงซินหยูเอ่ยปลุกสามีพร้อมกับเขย่าร่างหนาอย่างแรง ทำไมถึงได้นอนขี้เซาขนาดนี้นะ เมื่อปลุกเท่าไรชายหนุ่มก็ไม่ยอมตื่นหญิงสาวก็รู้สึกโมโหจึงตีเข้าที่ต้นแขนของชายหนุ่มอย่างแรง
"นี่คุณมาตีผมทำไมกัน" หวังหยุนสะดุ้งตื่นก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เขาเกลียดการที่คนมาปลุกตอนนอนเป็นที่สุด
"ก็ฉันปลุกคุณเท่าไรก็ไม่ยอมตื่นสักที นี่มันใกล้จะสายแล้วนะ เดี๋ยวไปลงแปลงนาช้าก็โดนหักแต้มหรอก"
"หักก็หักสิ ผมไม่สนใจหรอก" ชายหนุ่มพูดพลางบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูเดินออกไปนอกห้อง
"เด็กๆ ตื่นได้แล้ว นี่มันสายแล้วนะ จะไปไหมโรงเรียนเนี่ย" เมื่อปลุกคนเป็นสามีสำเร็จ เจียงซินหยูก็หันไปเรียกลูกสาวกับลูกชายที่กำลังนอนยังไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง
"วันนี้หนูขอหยุดเรียนวันหนึ่งได้ไหมคะแม่" หวังเหยาที่ยังหลับตาอยู่เอ่ยบอกกับแม่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
"ไม่ได้ ลุกขึ้นมาแต่งตัวไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้" เจียงซินหยูเอ่ยบอกเสียงเข้มพร้อมกับใช้มือตีก้นของลูกสาวกับลูกชายคนละทีทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งตื่นแล้วรีบลุกขึ้นอย่างไว
"หนูจะรีบไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละค่ะ" หวังเหยาเอ่ยบอกจบก็รีบลุกขึ้นไปหยิบชุดมาสวมใส่ พี่ชายอย่างหวังตงหาวก็รีบแต่งตัวเหมือนกัน
เมื่อทุกคนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปเจอกันที่โต๊ะกินข้าว วันนี้ก็ยังคงเป็นโจ๊กเหมือนเดิม แม่หวังตักโจ๊กใส่ถ้วยให้กับทุกคนอย่างลำเอียงเหมือนเดิม แต่เสวี่ยหมินไม่ได้สนใจอะไรเพราะเธอได้ตักโจ๊กซ่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
พอกินข้าวเสร็จเจียงซินหยูก็เดินไปส่งลูกชายกับลูกสาวที่โรงเรียน ไม่นานก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าให้ไปทำงานได้แล้ว
พ่อหวังและลูกชายทั้งสองคนก็พากันเดินออกไปทันที ในบ้านตอนนี้จึงเหลือแค่แม่หวัง หวังเหม่ยและเสวี่ยหมิ่นกับลูก พอทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง เสวี่ยหมิ่นก็เอาโจ๊กที่ซ่อนไว้ไปกินกับลูกสาวในห้อง
เสวี่ยหมิ่นเอาถ้วยออกมาล้างก่อนจะเข้าห้องไปเอ่ยบอกกับลูกสาวว่าตนเองนั้นจะขึ้นเขาไปเก็บผักป่า หวังหลินก็เป็นเด็กที่เข้าใจง่ายไม่ร้องตามเลยสักนิดเดียว เสวี่ยหมิ่นจึงแต่งตัวก่อนจะเดินออกจากบ้านไป
