บทที่ 8 แผนจับหนอนบ่อนไส้
หลังจากสนทนากับจูหลิงหลงไปอีกครู่ใหญ่ เฝิงลี่เหยียนถึงกับเอ่ยชมว่านางเลือกสหายไม่ผิด จูหลิงหลงเป็นคนดี ไม่ชอบแย่งชิงอำนาจจากผู้ใด อีกทั้งนางยังดีใจที่ตนไม่ได้รับความโปรดปรานจากเถียนฮ่องเต้ ดูเหมือนว่าเถียนฮ่องเต้รับสนมเข้าวังหลวงเพียงเพื่อต้องการประชดเฝิงฮองเฮาเท่านั้น จูหลิงหลงเล่าให้ฟังว่านอกจากตำหนักของเซี่ยกุ้ยเฟยแล้ว เถียนฮ่องเต้ไม่เคยไปค้างคืนที่ตำหนักใดเลย แม้กระทั่งตำหนักหรงจู่ของนางเองก็เช่นกัน
เฝิงลี่เหยียนใช้กลยุทธ์ในการเค้นถามจึงได้ความว่าอันที่จริงจูหลิงหลงนั้นมีคนรักอยู่แล้ว หากแต่จำต้องเข้าวังหลวงเพื่อคัดเลือกสนมเพราะโดนบิดาที่เป็นขุนนางขั้นสามสังกัดกรมโยธานั้นบีบบังคับ ในยุคสมัยนี้บุตรสาวมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของบิดามารดา หากดื้อรั้นไม่ฟังความจะกลายเป็นคนอกตัญญูในสายตาของผู้คน
เฝิงลี่เหยียนรู้สึกเห็นใจจูหลิงหลงไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นางจะทำใจได้กับสถานะใหม่แล้ว ทว่าถึงอย่างไรนางดูออกว่าจูหลิงหลงยังคงรักใคร่อดีตคนรักอยู่มาก ในตอนที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ดวงตาของนางฉายแววแห่งความเศร้าอย่างปิดไม่มิด
ตอนนี้เฝิงลี่เหยียนและจูหลิงหลงได้แยกย้ายกันกลับตำหนักแล้ว หากแต่เฝิงลี่เหยียนยังคงครุ่นคิดถึงวาจาของจูหลิงหลงก่อนจากกัน
‘ในเมื่อตอนนี้เราเป็นสหายกันแล้ว หม่อมฉันมีเรื่องที่อยากจะเตือนฮองเฮาเพคะ’ ดวงหน้าของจูหลิงหลงเต็มไปด้วยความเครียดขึง ก่อนที่นางจะหันมองซ้ายทีขวาทีจากนั้นจึงขยับเอามาใกล้
‘เรื่องอะไรหรือ’ เฝิงลี่เหยียนยื่นหูเข้าไปหานาง
‘หม่อมฉันบังเอิญไปได้ยินเซี่ยกุ้ยเฟยเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท ไป๋จี๋ส่งคนของนางแฝงตัวอยู่ในกลุ่มนางกำนัลรับใช้ฮองเฮาที่ตำหนักซูหนี่ว์ ฮองเฮาโปรดระวังพระองค์ด้วยนะเพคะ’ ที่ผ่านมาจูหลิงหลงไม่เคยคิดที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นด้วยรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของตน อีกทั้งยังคิดว่าหากนางพูดไปเฝิงฮองเฮาก็คงไม่ทรงรับฟังอย่างแน่นอน ทว่ายามนี้ทั้งนางและเฝิงฮองเฮาผูกสมัครเป็นมิตรกันแล้ว ฉะนั้นสหายก็ต้องช่วยกันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“หลิวเจีย ข้าเชื่อวาจาของจูหลิงหลงได้มากน้อยแค่ไหนกัน” แม้จะจูหลิงหลงจะแสดงท่าทีจริงใจไม่ได้มีพิษสงร้ายกาจอะไร แต่กระนั้นในวังหลวงนี้ไม่ต่างจากดงเสือดงตะเข้ อย่างไรก็ต้องระวังตัวไว้ก่อน
“เท่าที่หม่อมฉันรู้มา จูจิ่วผินเป็นสตรีเรียบร้อย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดเหมือนกับ..." หลิวเจียเงียบไปทันใด รู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดวาจาอันไม่สมควร
"เหมือนข้าสินะ" เฝิงลี่เหยียนตอบอย่างรู้ทัน ทำให้หลิวเจียได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้นางแทน
"ขออภัยเพคะ"
"พูดต่อเถอะ" เฝิงลี่เหยียนไม่ได้สนใจเรื่องอื่น นางอยากรู้เรื่องของจูหลิงหลงมากกว่า หลิวเจียจึงพยักหน้าหงึกหงัก
"นางไม่ชอบการตบตีแย่งชิงอำนาจ ในเมื่อนางไม่ได้มีจิตริษยาผู้ใด หม่อมฉันคิดว่านางน่าจะพอเชื่อถือได้อยู่กระมังเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดีสิ” ดวงตาคู่งามหรี่สายตาให้แคบลง ท่าทางมีลับลมคมในของเจ้านายทำให้หลิวเจียรู้สึกแปลกใจอยู่มาก
“ฮองเฮาจะทรงทำอะไรหรือเพคะ”
“ข้าจะจับหนอนบ่อนไส้” ปากบางกระตุกยิ้มขึ้นอย่างคนเจ้าเล่ห์ หลิวเจียรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันใด แม้ในยามนี้เฝิงฮองเฮาหาใช่คนชอบอาละวาดน่ากลัวดังเดิม ทว่าสำหรับเฝิงฮองเฮาคนนี้นางดูเจ้าเล่ห์อยู่มากจนหลิวเจียนึกหวั่นใจ
จากดวงตะวันที่ทอแสงอยู่บนนภา กาลเวลาแปรเปลี่ยนไปเป็นยามค่ำคืน เสียงแมลงกลางคืนต่างพากันส่งเสียงกรีดร้องระงมดังไปทั่วสวนอุทยาน ท่ามกลางความมืดในยามราตรีกาล ในห้องกว้างเผยให้เห็นบุรูษผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ บนโต๊ะไม้ปรากฏฏีกาหลายเล่มวางอยู่ เถียนจิ่งเทียนผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอนกายไปทางด้านหลัง เปลือกตาหนาปิดลงอย่างเมื่อยล้า หลังจากที่นั่งอ่านฏีกามาหลายชั่วยาม
หากแต่ความสงบมาเยือนไม่นานเสียงเคาะประตูก็พลันดังขึ้น ชายหนุ่มจึงเปล่งเสียงกล่าวคำอนุญาต ไม่นานร่างสูงของช่ายเจียหลุนจึงก้าวเข้ามาในห้อง เขาก้มศีรษะลงคารวะผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นเฟิ่ง
“มีเรื่องอะไรหรือเจียหลุน” เถียนจิ่งเทียนถามโดยที่ยังไม่ได้ลืมตา
“คนของกระหม่อมรายงานว่าวันนี้เฝิงฮองเฮาทรงเรียกนางกำนัลรับใช้ที่ตำหนักซูหนี่ว์ทุกคนไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ชื่อของสตรีที่ออกมาจากปากขององครักษ์คนสนิททำให้คนที่หลับตาอยู่ในตอนแรกเปิดเปลือกตาขึ้นทันใด จากที่เอนกายอยู่ก็กลับมานั่งหลังตรงเช่นเดิม
“เข้าเฝ้านางด้วยเหตุอะไร ไยจึงต้องเรียกนางกำนัลทุกคนในตำหนักเข้าเฝ้าด้วย”
“เป็นเรื่องของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ช่ายเจียหลุนตอบก่อนจะหลบสายตาลงต่ำเล็กน้อย ปากหนาของเขาขยับออกจากกันบางๆด้วยความขบขันเมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจระคนสงสัยของนายเหนือหัว หลังจากที่เฝิงฮองเฮาทรงฟื้นคืนสติครานี้ทำให้เถียนฮ่องเต้ดูวุ่นวายใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“เรื่องของข้า?”
ช่ายเจียหลุนผงกศีรษะรับจากนั้นจึงหวนนึกถึงเรื่องที่นางกำนัลรับใช้ซึ่งเป็นคนที่เขาส่งเข้าไปจับตาดูเฝิงฮองเฮาตามคำสั่งของเถียนฮ่องเต้ส่งข่าวให้ทราบ
‘พวกเจ้าคงจะแปลกใจที่ข้าเรียกทุกคนมาพบในวันนี้’
เหล่านางกำนัลรับใช้ต่างพากันยืนก้มหน้าอย่างสงบนิ่ง เฝิงลี่เหยียนแย้มยิ้มขึ้นบางๆ ก่อนจะค่อยๆเยื้องกายเดินผ่านพวกนางที่ยืนแยกออกเป็นสองแถวอย่างเป็นระเบียบ
‘ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ทุกคนรู้ จงเงยหน้าขึ้นเถิด’
เหล่านางกำนัลต่างเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเห็นเฝิงฮองเฮาหยิบกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งขึ้นมา พวกนางต่างพากันเมียงมองด้วยความสนใจ
‘พวกเจ้าคงอยากรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ใบนี้คืออะไร ทว่าข้าบอกได้เพียงว่ามันคือของล้ำค่าที่สุดในแคว้นเฟิ่งที่เถียนฮ่องเต้ทรงประทานมันให้ข้า ข้าหวังว่าทุกคนจะช่วยข้าเก็บรักษามันไว้อย่างดี เพราะถ้าหากของสิ่งนี้หายไป ฝ่าบาทต้องกริ้วมากเป็นแน่’ ท้ายประโยคน้ำเสียงและใบหน้าของเฝิงลี่เหยียนนั้นเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจนจนคนมองสัมผัสได้ ทว่าไม่นานมันก็ค่อยๆจางหายไปกลับกลายเป็นรอยยิ้มขึ้นมาแทนที่
‘ข้าขอความร่วมมือจากทุกคนด้วย’
‘เพคะฮองเฮา’ เหล่านางกำนัลต่างพากันตอบรับคำสั่งอย่างแข็งขัน ดวงตาคู่งามของเฝิงลี่เหยียนกวาดมองทุกคนด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงโบกมืออนุญาตให้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ
กลับมาที่ปัจจุบัน ช่ายเจียหลุนรายงานความเป็นไปที่ตำหนักซูหนี่ว์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทางด้านคนฟังยกมือขึ้นลูบปลายคางไปมาอย่างคนครุ่นคิด
“นางคิดจะทำอะไรกันแน่” เถียนจิ่งเทียนกัดฟันดังกรอด เขาไม่เคยมอบสิ่งของล้ำค่าใดให้นาง นอกจากแหวนหยกประจำตระกูลเถียนที่ตู้ไทเฮาบังคับให้เขามอบให้นางในวันอภิเษกสมรสเท่านั้น ทว่านางกล้าดีอย่างไรถึงได้แอบอ้างชื่อของเขาเช่นนี้!
“ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมทำอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ” ช่ายเจียหลุนเห็นเจ้านายหนุ่มนิ่งเงียบไปนาน เขาจึงถามขึ้น
“อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม บอกคนของเราให้จับตาดูนางต่อไป หากนางเริ่มลงมือให้รีบมารายงานข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ” ช่ายเจียหลุนตอบรับคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสมกับเป็นชายชาติทหาร จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปจากห้องเพื่อทำตามคำสั่งทันที
“เฝิงลี่เหยียนสตรีอย่างเจ้าร้อยเล่ห์มารยา ข้าจะรอดูว่าหนนี้เจ้ามีแผนการอะไรอีก” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง หวนนึกไปถึงดวงหน้างามคราใดก็รู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาทุกที
แม้เวลาจะล่วงเลยไปจนถึงยามจื่อ (23.00 - 00.59 น.) ทว่าเสียงที่กรีดร้องออกมาจากภายในห้องบรรทมตามด้วยเสียงของแจกันใบใหญ่ตกแตกดังเพล้ง! ทำให้นางกำนัลเฝ้าประตูถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจ หากแต่ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดประตูเข้าไปถาม
“ไป๋จี๋ คนของเจ้าพูดเรื่องจริงหรือ!”
“จริงเพคะกุ้ยเฟย” ไป๋จี๋ตอบเสียงแผ่ว ยืนก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตาเดือดดาลของเจ้านายสาว ในยามที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเถียนฮ่องเต้ เซี่ยกุ้ยเฟยมักจะแสดงท่าทีใจเย็นอ่อนหวาน แต่เบื้องหลังนอกจากนางและคนในตำหนักจูหรัน ผู้ใดจะไปรู้ว่านางเป็นคนโมโหร้ายมากเพียงใด
เซี่ยหรูอวี้กำมือแน่น ของล้ำค่าสิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่! นางมั่นใจว่าตนเป็นสตรีที่เถียนฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด แม้จะไม่เคยถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด ทว่าเถียนฮ่องเต้นั้นเสด็จมาเยือนที่ตำหนักจูหรันของนางมากกว่าตำหนักซูหนี่ว์ของเฝิงฮองเฮาเสียอีก ยามนี้เซี่ยหรูอวี้อารมณ์ขุ่นมัวไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด ครั้นเมื่อเหลือบไปเห็นโต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องประทินโฉมวางอยู่เต็มโต๊ะ นางจึงสาวเท้าเข้าไปหมายจะกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงพื้นให้เรียบเพื่อระบายอารมณ์
“ว้าย! เซี่ยกุ้ยเฟยทรงใจเย็นๆก่อนเถิดเพคะ” ไป๋จี๋รีบโผเข้าไปกอดขาของนางเอาไว้แน่น เซี่ยหรูอวี้เป็นเพียงสตรีร่างบอบบาง ไหนเลยจะสู้แรงไป๋จี๋ที่อวบอั๋นมากกว่านางได้
“ให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร คนที่ควรได้ของสิ่งนั้นควรจะเป็นข้าต่างหาก ไยฝ่าบาทถึงได้ประทานให้นังเฝิงลี่เหยียน!” เพราะความโมโหทำให้เซี่ยหรูอวี้หน้ามืดตามัว ไม่สนใจสถานะฮองเฮาของเฝิงลี่เหยียนอีกต่อไป
“ไม่เอาเพคะ อย่าเอ่ยเช่นนี้ หากผู้ใดมาได้ยินเข้าจะไม่ดีนะเพคะ” ไป๋จี๋รีบปรามเจ้านายสาว หากแต่นางยังคงดิ้นขลุกขลักไปมาหมายจะตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งเช่นเดิมพลางเปล่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความคับแค้นใจ ไหนจะเรื่องที่เถียนฮ่องเต้ต้องไปค้างที่ตำหนักซูหนี่ว์อีกเล่า!
