บทที่ 7 สหายคนใหม่
หมั่บ!
เฝิงลี่เหยียนทำตาโตด้วยความตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกตู้ไทเฮาคว้าเข้าไปกอด ยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังบางของนางไปมา จากที่เกร็งไปทั้งตัวในตอนแรกจึงค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น
“แม่ดีใจยิ่งนักที่เห็นเจ้าหายดี” ตู้เป่าอิงค่อยๆ ผละออกจากร่างบอบบางของลูกสะใภ้และส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ขอบพระทัยเพคะ” ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทุกอณูของหัวใจทำให้เฝิงลี่เหยียนถึงกับน้ำตาคลอ ในครั้งที่ยังอยู่ในร่างของหนิวเหยียน นอกจากมารดาผู้ล่วงลับ นางไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากใครเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งกับบิดาแท้ๆ ของตน แต่เมื่อตู้ไทเฮามอบความอบอุ่นให้นางเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อยเลยทีเดียว
หยดน้ำตาที่คลออยู่ในหน่วยตาเมื่อต้องแสงไฟจากตะเกียงทำให้มันส่องประกายวิบวับ เถียนจิ่งเทียนรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้เห็นหยดน้ำตาที่มันหลั่งออกมาจากใจหาใช่ที่นางเคยเสแสร้งบีบน้ำตาเหมือนอย่างที่ผ่านๆ มา
“ไปนั่งกันก่อนเถิด” ตู้เป่าอิงจับมือบางให้หย่อนกายนั่งลงเคียงข้าง เถียนจิ่งเทียนเห็นเช่นนั้นเขาจึงนั่งลงบ้างเช่นกัน
“เหยียนเอ๋อร์เรื่องใดที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป เจ้าอย่าได้นำเรื่องที่ไม่ดีมาใส่ใจ จากนี้ต่อไปขอให้เจ้าเริ่มต้นใหม่ พึงระลึกไว้อยู่เสมอว่าที่นี่เจ้ายังมีแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างเจ้า”
เฝิงลี่เหยียนผงกศีรษะรับ นึกสงสารเฝิงฮองเฮาตัวจริงไม่น้อย ที่ผ่านมาคงเป็นเพราะความรักบังตาทำให้นางมองไม่เห็นความปรารถนาดีของตู้ไทเฮา เถียนฮ่องเต้ไม่ได้รักใคร่นาง ไยจะต้องเดือดร้อน ความรักไม่จำเป็นต้องรักกันแบบหนุ่มสาวเท่านั้น ทว่าที่วังหลวงแห่งนี้คงมีเพียงแค่ตู้ไทเฮาและหลิวเจียเท่านั้นที่รักและเป็นห่วงนางจากใจจริง
“เทียนเอ๋อร์ เจ้าเองก็เช่นกัน จุดเริ่มต้นของเจ้ากับนางจะเป็นอย่างไรแม่ไม่สนใจหรอก แต่ในยามนี้เหยียนเอ๋อร์อยู่ในฐานะฮองเฮาของเจ้า เจ้าต้องดูแลนางเป็นอย่างดีเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” เถียนจิ่งเทียนตอบรับคำของพระมารดาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เขาไม่อยากทำให้มารดาเสียใจหรือต้องเป็นกังวลเพราะเขา เมื่อหวนนึกไปถึงตอนที่สูญเสียเถียนหย่งเถาเซียนตี้พระราชบิดา ยามนั้นตู้ไทเฮาเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ในฐานะโอรสเพียงคนเดียว เขาจึงสาบานต่อตนเองว่าจะรักและดูแลนางแทนพระบิดาอย่างดีที่สุด
“เข้าใจแล้วก็ดี เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เจ้าจงไปค้างที่ตำหนักซูหนี่ว์เถิด”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ!” เถียนจิ่งเทียนขานเรียกนางด้วยความตกใจ เสียงของเขาทำให้ตู้เป่าอิงต้องผินหน้ากลับมามองโอรสพลางย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
“เจ้ามีปัญหาอะไรหรือไม่”
“เสด็จแม่ ลูกไม่…”
ตู้เป่าอิงรู้ว่าเถียนจิ่งเทียนกำลังตั้งท่าจะปฏิเสธ นางจึงไม่รีรอรีบแทรกขึ้นมาทันที
“เจ้าคิดว่าแม่ไม่รู้หรือว่าเจ้าไม่ได้ย่างกายไปค้างที่ตำหนักซูหนี่ว์อีกเลย ไหนจะวันอภิเษกที่เจ้าแอบหนีออกมาจากห้องหอตั้งแต่ครึ่งคืนหลัง แม่รู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนยังไม่ได้ร่วมหอกัน เป็นเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่พวกเจ้าจะมีทายาทไว้สืบสกุลเล่า”
เฝิงลี่เหยียนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินความจริงจากตู้ไทเฮา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเฝิงฮองเฮายังบริสุทธิ์อยู่งั้นหรือ เข้าพิธีอภิเษกสมรสกันมาหลายปี ทว่ากลับไม่เคยได้ร่วมเตียงกับพระสวามี นางช่างเป็นคนที่น่าสงสารยิ่งนัก
“เทียนเอ๋อร์เจ้าอย่าลืมสิว่าแคว้นเฟิ่งต้องการรัชทายาท และคนที่จะสืบบัลลังก์ต่อจากเจ้าได้จะต้องเป็นโอรสที่เกิดจากสายโลหิตของฮองเฮาเท่านั้น เจ้าอย่าทำให้บัลลังก์มังกรต้องสั่นคลอนเลย” ตู้เป่าอิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ยามนี้พวกขุนนางเริ่มเอ่ยถึงเรื่องนี้กันแล้ว
ทางด้านเถียนจิ่งเทียนได้ยินเช่นนั้นจึงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะในยามที่ประชุม พวกขุนนางมักจะตั้งคำถามนี้กับเขาเสมอ เขารู้ดีว่าขุนนางบางคนไม่ได้จงรักภักดิ์ดีต่อบัลลังก์มังกรทองอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ขุนนางพวกนั้นจึงตั้งใจนำเรื่องทายาทมากดดันเขา
“กระหม่อมขอเวลาอีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ” เถียนจิ่งเทียนกล่าวอย่างจนใจ ตู้เป่าอิงขยับปากบางออกจากกันพร้อมพยักหน้ารับเบาๆด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างใบหูของเฝิงลี่เหยียน
“เหยียนเอ๋อร์เตรียมตัวไว้เถิด อีกสามวันข้างหน้าตำหนักซูหนี่ว์เตรียมต้อนรับเถียนฮ่องเต้ได้เลย”
“เพคะเสด็จแม่” เฝิงลี่เหยียนก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย รู้สึกขบขันไม่น้อยที่ได้เห็นสีหน้าลำบากใจของเถียนจิ่งเทียน แต่กระนั้นเมื่อคนตัวโตเงยหน้าขึ้นมาเห็นรอยยิ้มของคนตัวเล็กทำให้เขานึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างมากจึงต้องขึงตาดุๆใส่นาง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะเฝิงลี่เหยียนยังคงส่งยิ้มให้เขาอย่างเริงร่า
วันที่สองหลังจากที่เฝิงลี่เหยียนได้ไปเข้าเฝ้าตู้ไทเฮาที่ตำหนักต้าลี่ นับตั้งแต่วันนั้นเถียนจิ่งเทียนก็ไม่ได้เสด็จมาเยือนที่ตำหนักซูหนี่ว์ของนางอีกเลย ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธนางไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องมาค้างที่ตำหนักซูหนี่ว์ในวันพรุ่งนี้ ทว่าเฝิงลี่เหยียนไม่ได้อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด นางใช้ชีวิตผ่านพ้นไปแต่ละวันอย่างมีความสุข และวันนี้เองก็เช่นกัน
วันนี้อากาศสดใส ท้องฟ้าโปร่งเผยให้เห็นแสงแดดอ่อนๆที่ส่องกระทบลงมา สายลมพัดโชยเย็นสบายตลอดทั้งวัน เฝิงลี่เหยียนตั้งใจจะไปนั่งเล่นจิบชายามบ่ายที่ศาลาข้างน้ำตกจำลองที่ตั้งอยู่ในสวนอุทยาน
ขณะที่นางเอนกายให้หลิวเจียบีบนวดอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินผ่านมา และเมื่อสตรีผู้นั้นเห็นนางก็หยุดฝีเท้าลงทันใดและยอบกายทำความเคารพนางอย่างอ่อนน้อม
“นางคือผู้ใดกันหรือ” เฝิงลี่เหยียนถามหลิวเจีย นางกำนัลคนสนิทจึงหรี่ตาลงมองคนที่ยืนอยู่หน้าศาลา จากนั้นจึงเอ่ยปากตอบเจ้านายสาว
“นางมีนามว่าจูหลิงหลง ตำแหน่งจิ่วผินเพคะ”
ได้ยินเช่นนั้นจึงขานรับดังอ้อ นึกว่าผู้ใดที่แท้ก็เป็นหนึ่งในสนมของเถียนฮ่องเต้นี่เอง เดิมทีคิดว่าจะปล่อยจูหลิงหลงไป แต่เมื่อเห็นว่านางยังไม่ยอมก้าวไปไหนเสียที เฝิงลี่เหยียนจึงขานเรียกให้นางขึ้นมานั่งบนศาลาด้วยกัน
“จูจิ่วผินขึ้นมานั่งจิบน้ำชากับข้าเถิด”
จูหลิงหลงเบิกตากว้างพลางหันไปสบตากับนางกำนัลคนสนิทด้วยความแปลกใจ ที่ผ่านมานางพยายามไม่เอาตัวไปยุ่งกับเรื่องของฮองเฮาและเซี่ยกุ้ยเฟย ไม่ลงสนามไปตบตีแย่งชิงเถียนฮ่องเต้กับผู้ใด เหตุเพราะตัวของนางรักสงบและไม่ต้องการมีเรื่องกับผู้ใด แต่เหตุใดครานี้เฝิงฮองเฮาถึงสนใจนางขึ้นมาเล่า จูหลิงหลงคิดด้วยความกังวล ทว่าไม่อาจขัดคำสั่งของสตรีหงส์ได้จำต้องเดินขึ้นมานั่งบนศาลาตามคำสั่ง
“จิบชาสักหน่อยเถิด” เฝิงลี่เหยียนจัดการเทน้ำชาใส่จอก ยื่นส่งมาให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า จูหลิงหลงจึงยื่นมือมารับจอกน้ำชาจากเฝิงฮองเฮา ทว่ามือของนางสั่นระริกไปมาทำให้จอกน้ำชากระเด็นออกมาจนเลอะลงไปบนโต๊ะกลม
ดวงหน้าของจูหลิงหลงซีดเผือด หวั่นใจเกรงว่าเฝิงฮองเฮาจะทรงกริ้ว หญิงสาวรีบขยับกายไปทางด้านหลัง ผุดลุกขึ้นนั่งคุกเข่าและโขกศีรษะลงไปบนพื้นทันที
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ ฮองเฮาโปรดทรงให้อภัยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ทางด้านเฝิงลี่เหยียนนั้นได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าจูหลิงหลงจะหวาดกลัวนางเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้เปิดปากต่อว่า คนตรงหน้าก็รีบขออภัยนางเสียแล้ว
“จูจิ่วผินลุกขึ้นนั่งดีๆเถิด ข้าหาได้โกรธเจ้าไม่”
วาจาของเฝิงลี่เหยียนทำให้จูหลิงหลงนิ่งไปเล็กน้อย นางค่อยๆผินหน้าขึ้น เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนของเฝิงฮองเฮาจึงค่อยคลายความหวาดกลัวลง
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ว่าแต่ว่าเจ้าอายุเท่าไหร่หรือ” เฝิงลี่เหยียนวางมือลงบนโต๊ะพลางขยับเข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สิบเจ็ดย่างสิบแปดแล้วเพคะ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อนตามนิสัยเรียบร้อยของตน
“หลิวเจีย ข้าอายุเท่าใด” เฝิงลี่เหยียนหันไปกระซิบถามนางกำนัลคนสนิท หลิวเจียจึงกระซิบตอบ
“เท่ากับจูจิ่วผินเพคะ” หลิวเจียมองเจ้านายพลางสะท้านในอก รู้สึกสงสารเฝิงฮองเฮาไม่น้อยที่โดนอาการเจ็บป่วยเล่นงานอย่างหนัก แม้กระทั่งอายุของตนยังจำไม่ได้เลย
“ข้ากับเจ้าอายุเท่ากันอย่างนั้นสินะ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เราสองคนมาเป็นสหายกันเถิด”
จูหลิงหลงเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเฝิงลี่เหยียนด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าจู่ๆเฝิงฮองเฮาจะต้องการเป็นสหายกับนาง ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
“เป็นสหายหรือเพคะ” หญิงสาวทวนคำอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจนัก
เฝิงลี่เหยียนพยักหน้าหงึกหงัก จดจ้องคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ จูหลิงหลงเห็นท่าทางจริงใจของนางก็ค่อยคลายความกังวลลง นึกว่าจะโดนเฝิงฮองเฮาหาเรื่องเล่นงานแล้วเสียอีก
“เพคะ” จูหลิงหลงตอบสั้นๆ แต่กระนั้นทำให้เฝิงลี่เหยียนมีความสุขอย่างมาก นางคลี่ยิ้มกว้าง จูหลิงหลงจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยวาจาต่อมากับเฝิงฮองเฮา
“หากแต่ว่าฮองเฮาต้องสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายสหายคนนี้นะเพคะ”
“ข้าจะไปทำร้ายเจ้าทำไมกัน เป็นสหายกันก็ต้องรักใคร่ปรองดองกันไว้สิ”
จูหลิงหลงได้ยินเช่นนั้นนางจึงแย้มยิ้มกว้าง พยักหน้ารับหงึกๆอย่างเห็นด้วย รู้สึกดีใจไม่น้อยที่มีสหายเหมือนคนอื่น นางคิดว่าจะต้องอยู่ที่วังหลวงอย่างเดียวดายเสียแล้ว
