
เมื่อข้าเกิดใหม่กลายเป็นฮองเฮาไร้ประโยชน์ของฮ่องเต้ไร้ใจ
บทย่อ
จากนางระบำต่ำต้อยสู่สตรีอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเฟิ่ง ทว่าความจริงแล้วฮองเฮาเป็นเพียงสตรีที่พระสวามีชิงชัง... เขาจะชิงชังนางก็ช่างศีรษะเขาเถิด นางจะขอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเป็นฮองเฮาไร้ประโยชน์ไปวันๆก็พอแล้ว
บทที่ 1 แรกพบสบตา
เสียงดนตรีบรรเลงเป็นท่วงทำนองไพเราะขับกล่อมบรรดาแขกผู้มาเยือนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับเสียงเพลง เหล่าบุรุษทั้งหลายต่างพากันส่งสายตามองไปบนระเบียงที่ยื่นออกมาเล็กน้อยเผยให้เห็นร่างบางระหงที่อยู่ในอาภรณ์ตัวบางน้อยชิ้นสีแดงสดกำลังกรีดนิ้วไปตามสายพิณ ดวงหน้างามสวมผ้าผืนบางปิดบังใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ แม้จะเห็นเพียงแค่ดวงตาแต่ก็รับรู้ได้ถึงความงดงามของนางเป็นอย่างดี
‘หนิวเหยียน’ กวาดสายตามองลงไปยังเบื้องล่างที่มีเหล่าบุรุษกำลังนั่งดื่มสุราอย่างมีจริตจะก้าน ก่อนจะวางเครื่องดนตรีในมือลง เยื้องกายก้าวลงจากบันไดมาหยุดอยู่กลางลานที่จัดเป็นพื้นที่แสดงพลางโยกกายไปตามจังหวะของเสียงดนตรี
ในยามที่นางขยับ บรรดาบุรุษต่างพากันจ้องมองมายังนางอย่างไม่ละสายตา อาภรณ์ผืนบางน้อยชิ้นขยับโยกไหวเปิดเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเรียกเสียงฮือฮาจากคนมองได้เป็นอย่างดี และในตอนที่การแสดงจบลง ถุงเงินมากมายถูกโยนลงมาบนพื้นเบื้องหน้าของหญิงสาวบ่งบอกถึงความพึงพอใจของผู้ชมทำให้หนิวเหยียนอดระบายยิ้มที่มุมปากไม่ได้
“แม่นางเหวิน ข้าเองก็เป็นลูกค้าที่หอหมื่นบุปผามานาน เมื่อใดเจ้าจะยอมให้หนิวเหยียนมารับใช้ข้าเล่า” บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางส่งสายตามองไปยังหนิวเหยียน แววตาเต็มไปด้วยความหื่นกระหายบ่งบอกถึงความต้องการอันแรงกล้า
“ใต้เท้าอดทนรออีกสักหน่อยเถิด หนิวเหยียนเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ข้าจะให้นางรับใช้ท่านคนแรกเลยเจ้าค่ะ” เหวินซ่งหลิว นางเป็นเจ้าของหอหมื่นบุปผาแห่งนี้ตอบ ก่อนจะหันไปมองหนิวเหยียนหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหอหมื่นบุปผาที่นางรักใคร่เสมือนบุตรสาวคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่กล้าบีบบังคับ เวลานี้ต้องเอาใจหญิงสาวไว้ก่อนเพราะนางคือตัวทำเงินอันดับหนึ่งให้หอหมื่นบุปผาแห่งนี้
“บุรุษน่ารังเกียจ” ปากบางกระจับขยับเข้าหากัน เอ่ยรำพันกับตนเองเสียงแผ่ว หากแต่เมื่อเห็นเจ้าของบทสนทนาหันมาสบตา นางจึงเปลี่ยนสีหน้าส่งยิ้มให้เขาทันใด
“ข้าซาบซึ้งในความเมตตาเอ็นดูของใต้เท้ามากนัก หากแต่ตอนนี้ต้องขออภัยจริงๆ ข้ายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนั้น ขอให้ใต้เท้าเชยชมฝีมือการเล่นดนตรีของข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” หญิงสาวตอบชายวัยกลางคนเสียงหวาน ก่อนจะหมุนกายก้าวเดินขึ้นบันไดจากไปอย่างรวดเร็ว ใช่ว่านางจะอยากยืนอยู่ตรงนี้เสียหน่อย หากไม่โดนบิดาแท้ๆขายนางให้กับหอนางโลม นางคงไม่มีทางเหยียบย่างเข้ามาสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน
ทว่าก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้าไปยังห้องพักส่วนตัวกลับมีใครบางคนขานเรียกชื่อของนางเอาไว้เสียก่อน
“หยุดก่อนหนิวเหยียน”
“ท่านแม่มีเรื่องใดกับข้าหรือเจ้าคะ” ร่างบางหมุยกายหันกลับมา เมื่อเห็นเหวินซ่งหลิวกำลังเดินเข้ามาหา คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันถามด้วยความสงสัย
“แม่ต้องการให้เจ้าไปรับแขก”
“แขกอะไรกันเจ้าคะ ไหนท่านแม่สัญญากับข้าว่าจะให้ข้าขายฝีมือการเล่นดนตรีเท่านั้น” หญิงสาวถามเสียงแข็ง อันที่จริงนางกับเจ้าของหอนางโลมผู้นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด หากแต่เหวินซ่งหลิวให้ทุกคนที่นี่เรียกแทนนางว่า ‘ท่านแม่’ เท่านั้น
“แขกผู้นี้เป็นขุนนางขั้นใหญ่ เขาอุตส่าห์ให้เกียรติมาใช้บริการที่หอหมื่นบุปผาทั้งที แม่ต้องการทำให้เขาพึงพอใจที่สุด”
โดยการส่งนางไปรับใช้เขางั้นหรือ!
“ข้าไม่ทำเจ้าค่ะ” หนิวเหยียนสวนกลับทันใด
“หนิวเหยียน เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ที่หอหมื่นบุปผาของเรากำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต หากเจ้าไม่ช่วยแม่ วันหนึ่งแม่อาจจำต้องขายกิจการให้คนอื่น เมื่อนั้นเจ้าจะตกที่นั่งลำบากได้” เหวินซ่งหลิวทั้งอ้อนวอนระคนขู่เข็ญ หนิวเหยียนได้ยินเช่นนั้นจึงนิ่งไปเล็กน้อย ที่เหวินซ่งหลิวกล่าวมานั้นเป็นความจริง ยามนี้มีหอนางโลมเปิดใหม่มากมาย ไม่รู้ว่าหอหมื่นบุปผาจะยืนหยัดสู้วิกฤตได้อีกนานแค่ไหน หากเหวินซ่งหลิวขายกิจการให้ผู้อื่น เจ้าของคนใหม่อาจไม่ใจดีเช่นนางและอาจบังคับให้นางขายอย่างอื่นนอกจากฝีมือการเล่นดนตรีก็เป็นได้ และหากเป็นเช่นนั้นนางจะทำอะไรได้ ในเมื่อนางถูกขายให้เป็นสมบัติของที่นี่ไปแล้ว
“เอาน่า ช่วยแม่หน่อยเถิด แค่ไปกินดื่มเป็นเพื่อนท่านขุนนางเท่านั้น แม่ได้ยินมาว่าแขกผู้นี้กระเป๋าหนักมิใช่น้อย อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลา หากเจ้าได้เห็นหน้าเขา เจ้าจะต้องขอบคุณแม่ที่ส่งเจ้าไป”
ดูเหมือนว่าคำเกลี้ยกล่อมของเหวินซ่งหลิวจะได้ผลไม่น้อย คำว่า 'หน้าตาหล่อเหลา' ที่เอ่ยมานั้นทำให้หนิวเหยียนเกิดอาการลังเลขึ้นมาทันใด
“แค่กินดื่มเป็นเพื่อนเท่านั้นนะเจ้าคะ” หญิงสาวถามย้ำอีกหน
เหวินซ่งหลิวพยักหน้ารับหงึกหงัก หนิวเหยียนถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบรับคำเจ้าของหอนางโลม ที่ยอมไม่ใช่อะไรหรอกนะ แค่ได้ยินว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาอีกทั้งยังกระเป๋าหนัก นางจึงอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าเป็นจริงอย่างที่เหวินซ่งหลิวกล่าวมาหรือไม่
หนิวเหยียนเดินตามเหวินซ่งหลิวมาจนถึงห้องรับรองแขกพิเศษ ครั้นเมื่อประตูเปิดออก นางถูกผลักให้เข้าไปข้างในพร้อมกับประตูที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าของนางในยามนี้มีร่างสูงของใครบางคนนั่งอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ครั้นเมื่อดวงตาสองคู่ประสานกัน ราวกับเวลานั้นได้หยุดหมุนลง หนิวเหยียนมองบุรุษร่างสูงตรงหน้าตาค้าง หากยังดีที่มีผ้าคลุมปิดใบหน้าส่วนล่างของนางเอาไว้ หาไม่เขาคงได้เห็นริมฝีปากที่อ้าค้างอย่างตกตะลึงของนางเป็นแน่ และดูเหมือนว่าเขาเองก็ชะงักค้างไปเช่นกันเมื่อได้พบหน้าของนาง
“หล่อเหลามากเหลือเกิน” หญิงสาวพึมพำเสียงเบาราวกับคนไร้สติ จดจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมสันอย่างเคลิบเคลิ้ม ทั้งคิ้ว ตา จมูกและปากต่างรับกันเหมาะเจาะดียิ่งราวกับจิตรกรชื่อดังสรรสร้างปั้นแต่งขึ้นมา ไม่มีส่วนใดที่มีตำหนิเลยแม้แต่จุดเดียว
ขณะที่กำลังชื่นชมความหล่อของคนตรงหน้า จู่ๆตะเกียงที่แขวนอยู่บนผนังก็แตกออกจากกัน
เพล้ง!
“กะ… !” หญิงสาวกำลังจะอ้าปากกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นปลายมีดแหลมคมปักคาอยู่ข้างผนัง ทว่าคนที่นั่งอยู่บนเตียงกลับสาวเท้าตรงเข้ามาใช้มือหนาปิดปากของนางเอาไว้เสียก่อน
“อย่าส่งเสียงดัง!” น้ำเสียงแหบห้าวดังขึ้นข้างหู ยามนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ทว่านางสัมผัสได้ถึงความเครียดขึงของเจ้าของฝ่ามือใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉั่บๆๆๆ!
คมธนูพุ่งเข้ามาในห้องทั่วทุกสารทิศ ร่างบางถูกดึงให้ก้มต่ำลงจนแทบจะนอนราบลงไปบนพื้นอยู่รอมร่อ
“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“พวกมือสังหาร”
ดวงตากลมโตของหนิวเหยียนเบิกกว้างขึ้น นางมาที่นี่เพียงเพื่อจะเข้ามาชื่นชมความหล่อของแขกคนพิเศษของเหวินซ่งหลิว เหตุการณ์กลับตาลปัตรเสียได้กลับกลายเป็นนางต้องมาเสี่ยงตายแทน!
“คลานไปที่ประตูและรีบหนีไป”
“ห๊าา! ข้าจะไปได้อย่างไรกัน” หญิงสาวผินหน้าหันไปมองยังประตูที่ปิดสนิท จากตรงนี้ไปถึงประตูไกลกันไม่น้อยเลยทีเดียว
“หรืออยากตายอยู่ที่นี่ก็เลือกเอา” ขู่เสียงเข้มไม่มีแม้แต่คำปลอบโยนหรือให้กำลังใจแต่อย่างใด
“ปะ ไปเจ้าค่ะ” เอาเถิด... หากหนีไปได้นางก็จะรอดตาย ดีกว่านอนรอความตายอยู่เฉยๆก็แล้วกัน
“ไปซะ!” มือหนาปล่อยออกจากข้อมือของคนตัวเล็ก หญิงสาวผงกศีรษะรับอย่างว่าง่ายและรีบหมอบต่ำคลานไปจนถึงประตูไม้ที่ปิดสนิทอยู่ ทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้เปิดประตู หญิงสาวก็ผินหน้าหันไปมองคนที่นั่งหลบอยู่หลังเสาเตียง บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาว่าหากนางทอดทิ้งเขาแล้วเขาไม่รอดชีวิตออกไป บุรุษรูปงามเช่นนี้ต้องมาจบชีวิตไว้กับพวกมือสังหารก็รู้สึกไม่ดีเท่าใดนัก
“ท่าน! หนีไปด้วยกันเถิด” สุดท้ายทนไม่ไหวจึงวิ่งฝ่าคมธนูกลับมา คนที่นั่งหลบอยู่หลังเสาเตียงถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ เขาให้โอกาสนางหนีเพื่อจะได้จัดการสังหารมือสังหารพวกนี้ได้โดยที่ไม่ต้องมีภาระ ทว่านางกลับวิ่งกลับมาหาเขาเสียอย่างนั้น
สตรีผู้นี้เป็นคนโง่หรือคนบ้ากันแน่!
ทว่า…
“อุ๊ย!”
ตุ้บ! ฉั่บ!
ร่างบางที่วิ่งกลับมาเกิดสะดุดขาตนเองล้มลงทับคนตัวโตพร้อมๆกับคมธนูที่แล่นฉิวเข้ามาปักที่อกซ้าย คมแหลมของมันตัดเฉือนขั้วหัวใจของนางทันที
“เฮือก!” ร่างบางเกร็งสะท้านเฮือกด้วยความเจ็บปวด ก้มหน้ามองโลหิตที่ไหลทะลักออกมาจากหน้าอกข้างซ้ายของตน อุตส่าห์หวังดีกลับมาหมายจะช่วยเหลือคนตัวโต แต่กลายเป็นว่านางเกิดสะดุดล้มเอาร่างไปรับคมธนูแทนเขาเสียได้
“ทะ ท่าน… อึ่ก!” มือบางจิกกำไปที่ท่อนแขนกำยำ ดวงหน้างามบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความทรมาน ก่อนที่จะสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตาของคนใต้ร่าง
‘เถียนจิ่งเทียน’ มองร่างบางที่ร่วงลงสู่อ้อมแขนของเขาอย่างตกตะลึง ไม่นึกว่าคนที่เพิ่งพบหน้ากันเช่นนางจะยอมสละชีพนำร่างของตนเข้ารับคมธนูเพื่อปกป้องเขา ทว่ายังไม่ทันจะได้กล่าววาจาใดประตูห้องก็ถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับทหารนับสิบคนกรูกันเข้ามาข้างใน เสียงคมอาวุธปะทะกันดังไปทั่วห้อง ในขณะที่ใครบางคนก้าวเข้ามากวาดสายตามองหาเจ้านายเหนือหัวของตนด้วยความรวดเร็ว
ช่ายเจียหลุนโผเข้ามาหาเจ้านายหนุ่ม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่เป็นอะไร” เถียนจิ่งเทียนตอบองครักษ์คนสนิท ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นอุ้มร่างไร้วิญญาณของหนิวเหยียนไว้ในอ้อมแขน
“นางเป็นผู้ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” ช่ายเจียหลุนถามด้วยความสงสัย เหตุใดเถียนฮ่องเต้ถึงได้ดูอาวรณ์นางมากเหลือเกิน แม้แต่เฝิงฮองเฮายังไม่เคยได้รับสายพระเนตรที่อ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน
“นางคือผู้มีพระคุณของข้า” เจ้าของเสียงห้าวตอบสั้นๆ ก่อนจะอุ้มร่างไร้วิญญาณก้าวเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย หากแต่แววตากลับสะท้านไหวให้เห็นอย่างชัดเจน
“ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมจัดการกับมือสังหารอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
คำถามขององครักษ์หนุ่มทำให้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาแทนที่
“สังหารให้สิ้นจากนั้นตัดศีรษะของพวกมันนำไปเสียบประจานที่ประตูเมือง!” โทษฐานที่คิดร้ายสังหารผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นเพิ่ง ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มตะโกนมันดังลั่นอยู่ภายในใจ รู้อยู่เต็มอกว่าตำแหน่งที่เขายืนอยู่ในตอนนี้มีอันตรายรอบด้าน หากแต่พวกมือสังหารพวกนี้เป็นเพียงแค่กลุ่มเล็กๆที่ต้องการสังหารเขาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์แคว้นเฟิ่งเท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ร่างสูงก้มศีรษะลงตอบรับคำสั่งจากนั้นจึงก้าวเดินกลับไปเข้าในห้องพลันไม่นานเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น โลหิตสีแดงสาดกระเซ็นเปื้อนไปตามผนังไม้ มุมปากหยักยกยิ้มขึ้นด้วยความสะใจ ก่อนจะก้าวฉั่บๆออกไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง
