บทที่ 6 เจ้าต่างหากที่ขาสั้น
ปึง!
เฝิงลี่เหยียนกล่าวยังไม่ทันจบประโยคดี ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรงจนมันกระแทกผนังเสียงดังพร้อมกับร่างสูงของเถียนจิ่งเทียนก้าวเข้ามาในห้อง
“ฉลาดดีนี่!”
“ฝ่าบาท” เฝิงลี่เหยียนสะดุ้งโหยงขึ้นด้วยความตกใจ ทว่าไม่นานความตกใจก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นความไม่พอใจขึ้นมาแทนที่
“ฝ่าบาทแอบฟังหม่อมฉันหรือเพคะ”
เถียนจิ่งเทียนนิ่งไปกับคำถามของนาง อันที่จริงเขาก็แอบฟังนางจริงๆ นั่นแหละ หากแต่จะให้ยอมรับตามตรงมันก็ดูกระไรๆ อยู่
“ข้าเพียงแค่บังเอิญผ่านมาได้ยิน” เขายกมือขึ้นปิดปากส่งเสียงกระแอมกลบเกลื่อน จากนั้นจึงตีหน้าขรึมส่งสายตาดุดันมองนางดังเดิม
“ถึงอย่างนั้นเถอะ แต่อย่างน้อยฝ่าบาทก็ได้เห็นว่าเซี่ยกุ้ยเฟยไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างที่ท่านคิด แต่นางซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้อย่างแนบเนียนเพื่อรอวันทำร้ายหม่อมฉันอยู่” เฝิงลี่เหยียนเชิดหน้าขึ้น สิ่งที่นางเอ่ยออกไปทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น หากเถียนฮ่องเต้เข้าข้างเซี่ยหรูอวี้นั่นหมายความว่าหากเขาไม่หลงใหลนางจนหัวปักหัวปำก็คงเป็นเพราะโง่เขลาเบาปัญญาเป็นอย่างมาก!
เถียนจิ่งเทียนแค่นยิ้มหยันให้กับวาจาของคนตัวเล็ก ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าในระยะประชิดพร้อมใช้มือจับแขนเรียวของนางขึ้นมา ดวงตาดุดันกวาดมองไปทั่วแขนเรียวเสลา ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะแหบห้าวออกมาเบาๆ
“ก็คงเหมือนที่เจ้าโกหกว่าเจ็บปวดจากการที่โดนโจ๊กอั้นเซียงหกใส่กระมัง” เขาอุตส่าห์นึกถึงนางอยู่บ้างจึงตัดสินใจตามมาดูอาการที่ตำหนักซูหนี่ว์ แต่การมาครั้งนี้กลับทำให้เขาได้รู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นแผนของเฝิงลี่เหยียนมาตั้งแต่ต้น
แต่เมื่อเห็นสายตาและรอยยิ้มที่กรุ้มกริ่มของนาง เถียนจิ่งเทียนก็พลันได้สติ เขารีบปล่อยมือออกจากแขนเรียวทันใด จากนั้นจึงก้าวถอยหลังห่างออกไปหลายก้าว
“ฝ่าบาทบอกว่าไม่ให้หม่อมฉันเข้าใกล้เกินหนึ่งผิงแต่ครานี้เป็นฝ่าบาทเองที่เข้ามาใกล้หม่อมฉันนะเพคะ” เฝิงลี่เหยียนเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเริงร่า ทั้งเยี่ยนกงกงและหลิวเจียต่างพากันลอบอมยิ้มออกมาเบาๆด้วยความขบขันทำให้เถียนจิ่งเทียนทั้งโกรธระคนอับอาย
“เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ!” เขายกนิ้วขึ้นชี้หน้าของคนตัวเล็ก จากนั้นจึงหมุนกายหันหลังก้าวฉั่บๆออกไปจากห้องด้วยความรวดเร็ว โดยไม่หันกลับมามองนางอีกเลย
“ฮองเฮาเพคะ…”
“หลิวเจีย เจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย ข้าไม่ได้ยั่วโมโหฝ่าบาทเสียหน่อย แค่ช่วยเตือนความจำให้เขาเท่านั้นเอง” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกพลางยกไหล่ขึ้นเบาๆ ขณะที่ปากบางยังคงแย้มยิ้มด้วยความขบขัน ในขณะที่หลิวเจียได้แต่ส่ายศีรษะไปมาให้กับความเจ้าเล่ห์ของเจ้านายสาว
ยามเหม่า (05.00 - 06.59 น.) ของวันต่อมา เฝิงลี่เหยียนก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าอีกหน คนที่กำลังนอนหลับอย่างสบายๆรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย เมื่อนางกำนัลคนสนิทส่งเสียงปลุกนางทันทีที่เห็นว่านางยังไม่ยอมตื่น หลิวเจียจึงเพิ่มน้ำหนักเสียงให้ดังขึ้นกว่าเดิม
“ฮองเฮาตื่นล้างหน้าเปลี่ยนอาภรณ์เถิดเพคะ”
“มีอะไรกันหลิวเจีย ไยเจ้าถึงได้ปลุกข้าตั้งแต่เช้าเช่นนี้เล่า” สุดท้ายทนไม่ไหว เฝิงลี่เหยียนจึงตวัดผ้าห่มที่คลุมหน้าออก หันมาถามนางกำนัลคนสนิทเสียงเขียว
“วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาเสด็จไปหาตู้ไทเฮาเพคะ”
“ฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ เมื่อวานเขาก็ผิดนัดข้าไปหนหนึ่งแล้ว ครานี้ข้าไม่หลงเชื่อเขาอีกต่อไปแล้วล่ะ” หญิงสาวเบ้ปากเข้าหากัน ก่อนจะหมุนกายพลิกตัวหันหลังให้หลิวเจีย
“หนนี้ฝ่าบาทไม่ได้โกหกนะเพคะ ตอนนี้ฝ่าบาททรงรอฮองเฮาอยู่ที่หน้าประตูห้องแล้วนะเพคะ”
คนที่นอนหลับตาพริ้มรีบเปิดเปลือกตาขึ้นทันใด เฝิงลี่เหยียนผุดลุกขึ้นก้าวลงจากเตียง เดินตรงไปแง้มบานประตูออกจากกันเล็กน้อยและก็ได้เห็นร่างสูงองอาจของเถียนฮ่องเต้กำลังยืนหันหลังให้นางอยู่
ไม่ต้องรอให้หลิวเจียเอ่ยปากเร่งเร้าซ้ำสอง ร่างบางก็รีบสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในส่วนอาบน้ำอย่างรวดเร็ว หญิงสาวกระทำการทุกอย่างด้วยความรีบเร่ง เกรงว่าหากช้ากว่านี้ คนที่รออยู่หน้าห้องจะมีน้ำโหเอาได้ บุรุษผู้นี้ยิ่งคอยหาเรื่องจับผิดนางอยู่ทุกวี่ทุกวันอยู่ด้วย
“ฝ่าบาทเพคะ” เสียงหวานใสที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้เถียนจิ่งเทียนหมุนกายหันกลับไปมอง แลเห็นเฝิงลี่เหยียนที่อยู่ในชุดสีเหลืองอ่อนราวกับแสงของดวงตะวันกำลังเดินยิ้มเข้ามาหา ชั่วขณะหนึ่ง เขาพลันชะงักงันเมื่อเห็นดวงหน้างามของใครบางคนซ้อนทับใบหน้าของเฝิงลี่เหยียนอยู่ ก้อนเนื้อในอกซ้ายวูบไหวขึ้นทันใด แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันในเมื่อสตรีผู้นั้นได้จากไปแล้ว
“รอหม่อมฉันนานหรือไม่เพคะ”
“นาน!” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างห้วนๆ ทำให้ปากบางที่กำลังคลี่ยิ้มถึงกับรีบหุบลงแทบไม่ทัน นางอุตส่าห์พูดดีกับเขาแล้วนะ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเถียนฮ่องเต้ก็ยังคงชิงชังนางเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน
เถียนจิ่งเทียนไม่ได้สนใจคนตัวเล็กเท่าใดนัก เมื่อเห็นว่านางแต่งกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงสาวเท้าก้าวตรงไปยังประตูหน้าตำหนัก หากแต่ขาสั้นๆของนางทำให้เขารู้สึกขัดใจไม่น้อย เมื่อในตอนนี้นางอยู่ห่างจากเขาไปหลายก้าวเลยทีเดียว
“ฝ่าบาทอย่าเดินเร็วนักสิเพคะ หม่อมฉันก้าวตามไม่ทันแล้วนะ”
“ชักช้าเสียจริง” ร่างสูงหยุดเดินเพื่อที่จะหันไปมองคนที่กำลังเร่งฝีเท้าตามมา เฝิงลี่เหยียนเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังของคนตัวโตพร้อมกับลมหายใจที่หอบถี่กระชั้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ก็ฝ่าบาทเดินเร็วนี่เพคะ”
“เจ้าต่างหากที่ขาสั้น” เขาสวนกลับทันควัน ทำให้เฝิงลี่เหยียนต้องก้มมองดูขาของตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับขายาวๆของเขาแล้ว ขาของนางนั้นสั้นอย่างที่เขาพูดจริงๆนั่นแหละ
ทันใดนั้นเอง ดวงตาคมพลันวาวโรจน์ขึ้นเล็กน้อย ปากหนากระตุกยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันมาประสานสายตากับคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“ข้าให้เวลาเจ้าเพียงหนึ่งห้วงของลมหายใจ หากเจ้าไปไม่ถึงเกี้ยวก่อนข้า ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ตำหนักเย็น”
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ เฝิงลี่เหยียนลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางเคยได้ยินมาว่าตำหนักเย็นคือสถานที่คุมขังผู้กระทำผิด มันไม่ต่างจากคุกดีๆนี่เอง
‘แกล้งกันชัดๆเลย!’ เฝิงลี่เหยียนกัดฟันดังกรอด ทว่าไม่นานหญิงสาวก็ยกชายกระโปรงขึ้น จากนั้นก็รีบสาวเท้าวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
“ฮองเฮาหยุดเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าวิ่ง!” เสียงแหบห้าวตะโกนไล่หลังตามมา แต่หาได้ทำให้เฝิงลี่เหยียนสนใจไม่ นางตั้งใจแกล้งทำเป็นหูทวนลม หาไม่นางคงตามเขาไม่ทันอย่างแน่นอน
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้ริมฝีปากหยักเผยอค้างออกจากกัน ทั้งน่าขบขันและน่าโมโหในคราวเดียวกันที่เห็นเฝิงลี่เหยียนวิ่งลิ่วตรงไปข้างหน้า ในขณะที่ข้างหลังบรรดาเหล่านางกำนัลรับใช้ต่างพากันวิ่งตามไปเป็นขบวน และมันทำให้เถียนจิ่งเทียนคิดได้ว่าเขาไม่น่าคิดกลั่นแกล้งนางตั้งแต่แรกเลย
ตลอดทางมาจนถึงตำหนักต้าลี่ ไม่มีบทสนทนาของคนทั้งคู่เลยแม้แต่หนึ่งประโยค มันเต็มไปด้วยความเงียบงัน ในขณะที่เถียนจิ่งเทียนและเฝิงลี่เหยียนต่างพากันหันหน้าออกไปมองหน้าต่างคนละทาง ครั้นเมื่อก้าวลงจากเกี้ยว เถียนจิ่งเทียนเห็นนางกำนัลรับใช้ของตู้ไทเฮา เขาจึงจำใจยื่นส่งมือไปให้นางจับ หากแต่เฝิงลี่เหยียนกลับลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเขาทำให้ชายหนุ่มรีบเก็บมือของตนแก้เก้อ
“ที่นี่คือตำหนักต้าลี่งั้นหรือ ช่างงดงามยิ่งนัก” เฝิงลี่เหยียนพึมพำเสียงเบา มองภายนอกตำหนักที่ประดับประดาไปด้วยบุปผานานาชนิดด้วยความชื่นชม ดวงตาคู่งามเปล่งประกายระยิบระยับทำให้คนมองเผลอไผลไปชั่วขณะ
แต่ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมา เขาจึงรีบผินหน้ามองไปทางอื่นด้วยความรวดเร็ว นึกโมโหตนเองไม่น้อยที่เผลอไผลไปกับความงดงามของนาง
“จะยืนมองอีกนานหรือไม่ ทำอย่างกับไม่เคยมา” เถียนจิ่งเทียนแกล้งเอ่ยปากบ่นขึ้นมาเบาๆ แต่กระนั้นเขาจงใจให้นางได้ยิน เฝิงลี่เหยียนแอบส่งสายตามองค้อนใส่คนตัวโตด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นจึงก้าวตรงเข้าไปในตำหนักต้าลี่โดยไม่พูดสิ่งใดอีก
เฝิงลี่เหยียนคิดว่าภายนอกของตำหนักต้าลี่นั้นงดงามมากแล้ว ทว่าภายในกลับงดงามยิ่งกว่า ทั้งผนังและเครื่องเรือนประดับประดาไปด้วยทองคำบ่งบอกถึงสถานะของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
“เสด็จแม่” เถียนจิ่งเทียนก้าวเข้าไปในประตู ที่ตรงนั้นมีใครบางคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้เนื้อดีตัวใหญ่ เฝิงลี่เหยียนก้าวตามร่างสูงเข้าไปอย่างติดๆ รู้สึกเกร็งไม่น้อย ไม่รู้ว่าสตรีหงส์ผู้นี้จะรักและเอ็นดูเฝิงฮองเฮามากเพียงใด
“ถวายพระพรไทเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปีเพคะ” หญิงสาวยอบกายคารวะตู้ไทเฮาอย่างนอบน้อม หลังจากที่นางให้หลิวเจียช่วยฝึกฝนมาเมื่อวันก่อนเพื่อเตรียมพร้อมก่อนมาเข้าเฝ้าตู้ไทเฮา
ตู้เป่าอิงส่งยิ้มให้โอรส ก่อนจะมองเลยไปยังร่างระหงที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเถียนจิ่งเทียน จากนั้นนางจึงค่อยๆลุกขึ้นยืน ก้าวตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเฝิงลี่เหยียนพร้อมกับส่งสายตาจ้องเขม็งมายังนาง
