ลูกสาวผู้ถูกทอดทิ้ง
"เข่อซิง พ่อเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใดเจ้าคงรู้ดี"
"เจ้าค่ะ ท่านแม่บอกลูกไว้แล้วว่าท่านพ่ออยากถามความเห็นลูก"
"พูดตามตรงพ่อไม่อยากบังคับเจ้าให้แต่งเข้าตระกูลสือ"
"ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานลูกล้วนแล้วแต่ท่านพ่อจะตัดสินใจ"
"เจ้าก็เป็นเช่นนี้ พ่อน่ะมีลูกสาวแค่สองคน คนหนึ่งเป็นตัวอัปโชค อีกคนว่านอนสอนง่ายสั่งให้ทำอะไรย่อมทำตามหมด พ่อรู้สึกว่ามีลูกสาวเช่นเจ้าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำพันชั่งเสียอีก"
"เรื่องของพี่ใหญ่นางหาใช่คนอัปโชคเสียหน่อยนี่เจ้าคะ มีแต่คนคิดไปเองทั้งนั้น ข้ายังรู้สึกสงสารนางเสียด้วยซ้ำ อายุของนางเลยวัยปักปิ่นมาแล้วถึงสองปีท่านพ่อควรหาคู่ครองดี ๆ ให้นางได้แล้ว"
"เรื่องของนางเอาไว้ก่อนเถิด พ่อตัดสินใจแล้วว่าจะให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลหลี่"
"เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะแต่งเข้าตระกูลสือแทนข้ากัน คงไม่ใช่..."
"เจ้าคิดถูกแล้ว พ่อจะให้นางแต่งเข้าตระกูลสือแทนเจ้า"
"แต่ว่า"
"ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พ่ออย่างข้าจะมอบให้นางได้"
"ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าชีวิตนางน่าสงสารตั้งแต่ยังเด็ก หากท่านยังทำเช่นนี้อีกเกรงว่าท่านพี่คงไม่อยากมองหน้าท่านอีก"
"ทำไมพ่อจะไม่รู้ แต่จะทำอย่างไรได้หนทางเลือกได้เพียงหนึ่ง หากต้องเสียสละใครสักคนซูเหม่ยเหมาะสมที่สุด"
เมื่อทุกอย่างถูกตัดสินใจเป็นอันแน่นอนแล้ว สาวใช้ที่อยู่ในเรือนจึงส่งจดหมายรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งคำพูดของใต้เท้าเว่ยฉือที่เอ่ยกับเข่อซิงกับสถานการณ์ทางฝั่งฮูหยินไปให้เจ้านายของตนรับรู้ ไม่นานนักจดหมายจากเมืองหลวงได้มาถึงบ้านสวน
"คุณหนู จดหมายจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"
"ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปทำงานของเจ้าเถิด" เว่ยซูเหม่ยบอกสาวใช้ ก่อนเปิดอ่านจดหมายเพียงลำพัง ครั้นอ่านจนจบน้ำตาของนางไหลเอ่อออกมาอาบสองแก้ม แม้คิดไว้แล้วว่าท้ายที่สุดบิดาของนางต้องตัดสินใจเช่นนี้ ทว่าคำพูดในจดหมายกลับทำให้รู้สึกโศกเศร้าเสียจนกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ไม่อยู่
"ท้ายที่สุดแล้วคนที่ท่านเลือกที่จะถนุถนอมก็ไม่ใช่ข้าอีกเช่นเคย"
นางขยำจดหมายนั้นทิ้ง พลันใช้มือทั้งสองข้างปาดน้ำตา ไม่มีเวลาที่ต้องมาเสียใจกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ตอนนี้ควรเตรียมตัวกลับจวนถึงจะถูก แม้จะถูกทอดทิ้งสักกี่หน แต่เว่ยซูเหม่ยไม่อาจลืมความจริงได้ว่าคนที่ทอดทิ้งตัวเองเป็นบิดาแท้ ๆ ที่ในอดีตนางเคยเรียกว่าท่านพ่อด้วยความคะนึงหาและเฝ้ารอมาโดยตลอด
หญิงสาวมองไปยังเรือนไม้หลังเล็กด้วยความผูกพัน แม้อยู่ที่นี่ไร้ความสะดวกสบายไม่มีบ่าวไพร่คอยดูแล เรื่องทุกอย่างในเรือนมีเพียงนางกับหวนปี้ที่ช่วยกันดูแล ทั้งสองคนจึงรักใคร่เปรียบดั่งพี่น้อง
“คุณหนู ขึ้นรถม้าเถิดเจ้าค่ะ หากไปช้ากว่านี้อาจถูกนายท่านดุนะเจ้าคะ”
“ไปช้าหรือเร็ว ข้าไม่เห็นว่าจะต่างกันตรงไหน สุดท้ายก็ไม่มีใครมารอรับข้ากลับไปอยู่ดี” สิ้นคำตอบ หวนปี้เดินมากุมมือนางเอาไว้
“ออกเดินทางได้” หวนปี้บอกคนขับรถม้า เมื่อทั้งคู่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนที่จากบ้านสวนในชนบทไปอย่างช้า ๆ กระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วยามล้อหยุดหมุนจอดเทียบท่าหน้าจวนตระกูลเว่ย
เว่ยซูเหม่ยก้าวเท้าลงจากรถม้าพร้อมกับความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามา มีทั้งความรู้สึกเศร้า เสียใจ ดีใจ และว่างเปล่าปะปนกันไปหมดจนทำให้นางไม่รู้ว่าควรรู้สึกเช่นไรก่อนดี สิบสองปีมาแล้วที่ต้องจากเรือนนอนของตัวเองมุ่งสู่ชนบทแสนทุกข์ยาก แม้อยากกินของดี ๆ สักอย่างยังไม่อาจทำได้เลย
“ท่านพี่ ข้าได้ยินว่าท่านจะกลับมาวันนี้ ข้าเลยมารอท่านอยู่ที่นี่” เสียงของเว่ยเข่อซิงดังขึ้น ทำให้นางหลุดจากภวังค์และหันไปสนใจยังต้นเสียงแทน
“เข่อซิง ไม่เจอกันเสียนาน บัดนี้เจ้าเติบใหญ่ขนาดนี้เชียวรึนี่”
