CHAPTER 5 หัวใจที่มืดบอด
เสียงฝีเท้าส้นสูงดังฉับๆ บนพื้นหินอ่อนของล็อบบี้หรู ก่อนที่ร่างบางจะปรากฏตัวขึ้นหน้าลิฟต์ ใบหน้าสวยแต่งแต้มอย่างบรรจง แววตาสั่นไหวแต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“คุณวินซ์!” อลิสาเอ่ยเรียกขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัว เขาหันมามองเธอเพียงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจยาว
“มีอะไรอีกตามผมไปที่ห้องทำงาน” เขาถามเสียงเรียบ สีหน้าไร้ความอ่อนโยน และเดินนำหญิงสาวไปอย่างไม่สบอารมณ์ พอมาถึงห้องทำงานเขาก็ได้ยินคำพูดที่เขาแสนจะเบื่อหน่าย
“ทำไมคุณถึงพาเลขาผู้หญิงไปงานเมื่อคืน ทั้งที่อลิสควรเป็นคนข้างกายคุณในฐานะคู่หมั้น” เธอเน้นคำสุดท้ายอย่างเจ็บปวด ตลอดหนึ่งปีที่หมั้นกันธรรศชวินไม่เคยแตะต้องเธอเลยสักครั้ง
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะในลำคอ แววตาคมกริบตวัดมองเธออย่างเย็นชา
“อย่าทำตัวเหมือนเมียผมได้ไหมการที่เราหมั้นกัน ก็แค่ผลประโยชน์ของสองตระกูล ไม่เคยมีคำว่ารักอยู่ในนั้น” เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่าย บางครั้งอลิสาก็ไปฟ้องแม่ของเขาจนเกิดทะเลาะกัน
อลิสานิ่งงันดวงตาไหวระริก แต่ยังฝืนยืดตัวตรงเธอจะไม่ยอมถอนหมั้นกับเขา หากไม่รักก็จะรั้งกันไว้แบบนี้ไปจนตาย
“แล้วทำไมคุณถึงต้องพูดแรงขนาดนี้ อลิสก็แค่ห่วงคุณพยายามทำทุกอย่างให้คุณยอมรับอลิสบ้าง” เธอยอมรับว่ารักเขาสุดหัวใจ
“พอที! ผมไม่ชอบผู้หญิงตามติด และผมไม่มีหัวใจจะให้รักใครจำไว้!” เขาแทรกเสียงเข้ม
“อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะคะ คุณทำตัวดีๆ ให้คุณพ่อคุณแม่เอ็นดูคุณบ้างไม่ได้เหรอ”
“แต่งงาน? ครบ 1 ปีเราควรจะถอนหมั้นกันด้วยซ้ำตามที่ผมพูดไว้ มาก็ดีแล้ววันนี้เราก็ถอนหมั้นกันซะเลย” เขขาหยิบแหวนหมั้นที่ไม่เคยใส่ออก และวางบนโต๊ะทำงาน
“ฮึก อลิสไม่ถอนหมั้นนะคะ”
“นั่นเป็นปัญหาของคุณ ต่อไปอย่ามาเหยียบที่นี่อีก”
อลิสาเช็ดน้ำตาจะเข้าไปกอดเขาไว้ แต่ธรรศชวินไม่ยอมเขาเดินออกจากห้องทำงานไป เธอเช็ดน้ำตาในเมื่อเขาดื้อดึงเธอคงต้องบังคับเขา เธอเพียงยืนนิ่งดวงตาแดงก่ำ แต่ประกายในนั้นกลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
“คุณอย่าหวังจะไปจากอลิสได้”
.
เสียงเครื่องยนต์ดับลงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเงียบสงบ ร่างของหญิงสาวในเสื้อโค้ตยาวสีครีมก้าวลงจากรถอย่างเงียบงัน ดวงตากลมโตทอดมองไปรอบตัวด้วยความรู้สึกประหลาดใจและว่างเปล่า
“ลูกแม่...” เสียงนั้นแผ่วเบาแต่สั่นไหว ราวกับจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปิ่นปักเข้าไปกอดลูกสาวด้วยความคิดถึง
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านเรานะ”
“คุณแม่มุกคิดถึงแม่ใจจะขาดเลย” ระหว่างที่รักษาตัวเธอทั้งเหงาและโดดเดี่ยว
คนเป็นแม่พยักหน้าดวงตาแดงก่ำมือรีบยื่นมาจับมือเธอไว้แน่น
“เหงาไหมหิวไหมวันนี้แม่สั่งให้แม่บ้านทำของชอบให้มุกด้วย เข้าไปข้างในกัน”
ปิ่นมุกก้มมองมือตัวเองที่อยู่ในอุ้งมืออ่อนโยนของอีกฝ่ายความอบอุ่นนั้นสัมผัสได้ แต่ความผูกพันกลับหายไปจนหมด
เธอเหลียวตามองบรรยากาศรอบบ้านทุกซอกมุมให้ความรู้สึกคุ้นแปลกๆ ประหลาดราวกับภาพในฝันที่พร่าเลือนต้นจำปีริมทางเดินกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมากระทบจมูก
“มุกขอโทษนะคะ มุกจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มุกพยายามที่สุดแล้ว”
น้ำเสียงของปิ่นมุกสั่น แต่ก็พยายามกลั้นน้ำตา ดวงตาคู่นั้นทอดมองบ้านที่เคยเป็นบ้านของเธอด้วยความรู้สึกแปลกแยกอย่างที่สุด
คนเป็นแม่ดึงเธอเข้ากอดแน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยเพียงเสี้ยววินาที เด็กคนนี้จะหลุดหายไปอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรลูกไม่เป็นไรเลย แม่จะค่อยๆ เล่าให้ฟังเอง เราจะเริ่มต้นใหม่ไปด้วยกัน”
เสียงเพลงเบาๆ ผสมเสียงแก้วกระทบกันภายในเลานจ์สุดหรูย่านใจกลางเมือง ธรรศชวินเอนตัวพิงพนักโซฟาหนังอย่างเหนื่อยล้า มือข้างหนึ่งถือแก้ววิสกี้ส่วนอีกข้างพาดอยู่หลังหญิงสาวหน้าตาจัดจ้านที่แนบชิดอยู่ข้างกาย
“เอาจริงๆ ฉันรำคาญเรื่องหมั้นนี่ชะมัด แม่ฉันก็ไม่ยอมยกเลิกหมั้นสักที เหมือนจะเอาอลิสามาทิ้งไว้ในชีวิตฉันให้ได้” เขาบ่นเสียงเบาสายตาจ้องน้ำแข็งในแก้วอย่างไร้แวว
“นายก็ทำดีมาตลอดนี่” เอกวินเพื่อนสนิทที่นั่งฝั่งตรงข้าม ยกแก้วขึ้นดื่มพลางหัวเราะ
“ฉันทำไปหลายครั้งแล้ว แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยยอมไม่รู้ทนอะไรนักหนา” ธรรศชวินหัวเราะแห้งๆ
ยังไม่ทันจบประโยค เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากหน้าประตูเลานจ์ พร้อมเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังถี่
“คุณวินซ์ นี่เหรอสิ่งที่คุณทำหลังเลิกงาน!”
อลิสาในชุดรัดรูปสีแดงเพลิงก้าวพรวดเข้ามาอย่างเดือดดาล ใบหน้าแต่งเต็มแต่ตอนนี้บิดเบี้ยวด้วยโทสะ ก่อนจะพุ่งเข้าไปกระชากแขนหญิงสาวที่นั่งข้างเขาอย่างแรง
เพี้ยะ
“หน้าด้าน! รู้ไหมว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว”
“โอ๊ย! ปล่อยนะคุณ!” สาวคนนั้นร้องขึ้นทันทีเสียงตบดังฟาดลงกลางหน้าหญิงสาวคนนั้นจนหน้าหัน
ธรรศชวินผุดลุกขึ้นจากโซฟาในพริบตา คิ้วขมวดแน่น เขากระชากอลิสาออกห่างจากวงวิวาททันที
“หยุด! คุณบ้าไปแล้วเหรออลิสนี่มันที่สาธารณะ!” เขาตะคอกเสียงเข้ม
“แล้วคุณล่ะ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเรายังหมั้นกันอยู่!” อลิสาหายใจแรง ดวงตาแดงก่ำ
ธรรศชวินเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นชี้หน้าเธอด้วยความเย็นชา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะดื้อด้านขนาดนี้มาก่อน
“เราถอนหมั้นกันไปแล้วจำไว้ให้ขึ้นใจ!”
อลิสาชะงักสีหน้าราวกับถูกตบซ้ำเธอยืนนิ่งร่างสั่น ขณะที่ธรรศชวินเบือนหน้าเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
“อลิสไม่ถอนหมั้น อลิสจะไปฟ้องคุณป้าว่าคุณมันเลว” หญิงสาวเดินตามเขาออกมา ตะโกนเสียงดังจนเขาเริ่มอับอายไม่น้อย
“เชิญ! จะไปฟ้องใครก็เชิญ จะลากญาติพี่น้องมาตัดสิน จะไปขุดกระดูกบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรมาประชุมก็เอาให้เต็มที่ เพราะต่อให้ฟ้องถึงสวรรค์ ก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาหรอก!”
อลิสาเมื่อเห็นว่าเขาหมดความอดทนเธอจึงไม่กล้าพูดต่อ รู้ว่าเวลาที่เขาโกรธจะเป็นยังไง เธอเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลังร้องไห้ออกมา
“อลิสรักคุณที่ผ่านมาทำไมคุณไม่มองอลิสบ้าง หรือคุณมีใครอยู่ในใจ”
คำพูดนั้นทำให้ธรรศชวินหวนกลับไปนึกถึงใครบางคน ที่เขาไม่เคยลบเธอออกไปจากหัวใจได้เลย เขาจับมือเธอออกและเดินจากไปแบบไม่หันกลับมามอง
เมื่อมานั่งในรถเขาเลื่อนดูรูปเก่าๆ ของเขากับปิ่นมุกที่หญิงสาวมักถ่าย และส่งมาให้เขาข้อความแชทเขาไม่เคยลบทิ้ง ยังคงส่งข้อความหาปิ่นมุกตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา
“คุณสะใจแล้วใช่ไหมปิ่นมุกที่ทำให้ผมคิดถึงคุณใจจะขาด คำแช่งของคุณมันเกิดผลแล้ว”
เขาจ้างนักสืบตามหาปิ่นมุกแกะรอยจากปิ่นปักแม่ของหญิงสาว แต่ไม่พบร่องลอยอะไรเลยปิ่นปักใช้ชีวิตปกติที่บ้านก็ไม่มีปิ่นมุก
เขาแปลกใจว่าอีกฝ่ายหายไปไหน และแม่ของเธอดูไม่เดือดร้อนเท่าไร แต่เขายังไม่ละความพยายามยังคงตามหาปิ่นมุกต่อไป จนเวลาผ่านไปหลายเดือนเขาก็ยอมแพ้
“ผมตกนรกทั้งเป็นปิ่นมุก สิ่งที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อคือคุณกับลูก พาลูกกลับมาหาผมได้ไหม” เขาก้มลงจูบที่รูปของปิ่นมุก พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมา
หากเขาไม่ไล่เธอไปตายหากเขายอมรับความจริงป่านนี้ เขาคงมีความสุขไปนานแล้ว เขายอมหมั้นเพราะต้องเพิ่งพาอลิสา ซึ่งพ่อสัญญาว่าครบหนึ่งปีให้ถอนหมั้นได้เลย และเขาก็ถอนหมั้นได้แต่เรื่องนี้ยังไม่บอกแม่เพราะท่านรักอลิสามาก
“ครั้งนี้ผมเจอคุณอีกจะไม่ปล่อยคุณไปไหน” เขาเปิดกระจกรถไว้เล็กน้อย และปรับเบาะสำหรับพิงตัวลงนอน หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าที่ต้องแบกภาระไว้เต็มบ่า แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง
