CHAPTER 3 จากลาแต่ไม่ตลอดกาล
เช้าวันจันทร์ในกรุงเทพฯ ห้องนอนที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และคำสัญญาที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง บัดนี้กลับเงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ดังสลับกับเสียงลมหายใจติดขัดของหญิงสาวคนหนึ่งที่กอดเข่าตัวเองอยู่กลางเตียงกว้าง
ปิ่นมุกยังคงอยู่ในชุดนอนผ้าซาตินที่เขาเคยเลือกให้ มือที่ถือโทรศัพท์แน่นจนสั่นเริ่มเย็นเฉียบเหมือนเลือดหยุดไหลตั้งแต่เธอเห็นภาพนั้นข่าวหมั้นของธรรศชวิน ปรากฏอยู่ทุกช่องข่าว ทุกแพลตฟอร์ม
“ทายาทธุรกิจหมื่นล้าน ธรรศชวิน ศิวะนันทเวศน์ เตรียมหมั้นหมายกับอลิสา อัครนิมิตร ลูกสาวนักธุรกิจหมื่นล้าน”
ใต้หัวข่าวคือภาพของเขายืนอยู่เคียงข้างผู้หญิงอีกคนหญิงสาวผู้เพียบพร้อมและน่ารักสมฐานะ กำลังยิ้มหวานโชว์แหวนเพชรเม็ดงามที่นิ้วนางข้างซ้าย ส่วนเขาชายที่เคยกระซิบคำว่ารักข้างหูเธออย่างอ่อนโยน กลับมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
โลกทั้งใบของปิ่นมุกพังทลายลงต่อหน้า ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีแม้แต่การลาหรือคำพูดที่ออกจากปากของเขา
เธอกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมเพื่อกลั้นเสียงร้อง ไม่ให้มันหลุดออกมาจนทำลายศักดิ์ศรีสุดท้ายที่เธอยังเหลืออยู่ ทว่าเมื่อภาพอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นภาพที่เขากำลังก้มลงจุมพิตหน้าผากของผู้หญิงคนนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับเธอเป็นผู้หญิงเดียวที่เขาเคยทะนุถนอม หยดน้ำตาของปิ่นมุกก็พรั่งพรูออกมาโดยไม่อาจห้าม
เธอพยายามลุกจากเตียง แต่ร่างกายกลับโอนเอนไม่ต่างจากคนใกล้หมดแรงมือหนึ่งยันขอบเตียง อีกมือกุมหน้าอกข้างซ้ายที่เจ็บราวถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ ความรู้สึกจุกแน่นตีขึ้นมาจากท้องถึงลำคอ เธอพุ่งไปยังห้องน้ำโดยไม่อาจห้าม
เสียงอาเจียนดังก้องในห้องที่ไร้ผู้คน และมันไม่ใช่เพราะแพ้ท้อง แต่เป็นเพราะหัวใจของเธอแตกสลายจนไม่มีชิ้นดีอีกต่อไปแล้ว
“ฮึก ฮือ คนใจร้าย”
ปิ่นมุกยืนอยู่หน้าบริษัทใหญ่ของธรรศชวินด้วยร่างกายอ่อนแรงแต่ใจยังสั่นไหว ความหวังเพียงน้อยนิดผลักให้เธอฝืนยืนตากแดดอยู่นานนับชั่วโมง น้ำตาที่แห้งไปเพราะร้องไห้มาทั้งคืนเริ่มไหลอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่หน้าประตูรายงานว่า
“คุณวินซ์ไม่อนุญาตให้พบใครทั้งสิ้น”
แต่เธอไม่ยอมกลับเธอยืนต่อ รอคอยราวกับจะยืนยันกับหัวใจตัวเองว่ายังไม่หมดหวังกับผู้ชายคนนั้น
จนกระทั่งร่างสูงของเขาในชุดสูทสีเทาเข้มเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัว ท่ามกลางผู้ติดตามปิ่นมุกเบิกตากว้างก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาเขา ทว่าเขาเพียงปรายตามอง เหมือนไม่รู้จักเธอแม้แต่น้อย
“พี่วินซ์ได้โปรดฟังมุกก่อนมุกขอแค่ไม่กี่นาทีได้ไหม...” เสียงของเธอสั่นเครือ ทั้งที่พยายามกลั้นมันไว้
เขามองปิ่นมุกด้วยความตกใจกลัวว่าครอบครัวจะมาเห็นจึงลากหญิงสาวเข้าไปที่ห้องโถง
“กลับไปซะปิ่นมุกผมไม่มีอะไรจะพูดกับเธอแล้ว” เขาตอบเสียงเรียบราวกับตัดขาดทุกเยื่อใย เขาหมั้นหมายเพราะครอบครัวเขาบังคับ และอีกอย่างปิ่นมุกไม่ใช่ผู้หญิงที่เชิดหน้าชูตาให้ครอบครัวเขาได้
หญิงสาวทรุดลงกับพื้นในเสี้ยววินาที แขนสองข้างสั่นเทิ้มยกขึ้นเกาะขาของเขาแน่นทั้งน้ำตา
“มุกรักพี่ มุกไม่อยากเสียพี่ไปอย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะอย่าทิ้งมุกไว้คนเดียว ฮือ”
“คุณกำลังขายหน้าตัวเองอยู่นะ หยุดมันเถอะ” ชายหนุ่มนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย
เธอส่ายหน้าหอบหายใจหนักก่อนจะพูดเสียงแผ่วเหมือนคนใกล้หมดแรง
“มุก...มุกท้องลูกของพี่...”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนรอบข้างหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ยกเว้นคนที่เธอกล่าวถึง
“เด็กในท้องของมุกใครจะรู้ว่าเป็นของใครกันแน่ปิ่นมุก อย่าทำเรื่องไร้สาระให้มันดูน่าสมเพชไปกว่านี้” ธรรศชวินหัวเราะเบาๆ อย่างไม่เชื่อ
“พี่ไม่เชื่อมุกเหรอ มุกไม่เคยมีใครมุกมีแค่พี่วินซ์” เธอสะอึกเหมือนถูกตบกลางใจ เสียงเธอเบาแหบแห้ง
เขาเบือนหน้าหนีแล้วพูดราวกับขยะแขยง เขายังไม่เบื่อเธอแต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้ชายโสดแล้ว
“งั้นก็ไปพิสูจน์ซะ แต่ถ้าคิดจะลากผมไปตกนรกกับคุณอีกล่ะก็...ก็ไปตายซะจะง่ายกว่า!”
“ฮึก พี่วินซ์ใจร้ายมากไม่คิดรักมุกเลยเหรอคะ เราอยู่ด้วยกันปีกว่าไม่มีความรักเลยสักนิดเหรอคะ” เธอลุกขึ้นกอดเขาจากด้านหลัง ไม่ปล่อยให้เขาจากไป
“ปิ่นมุก...” เขาหลับตาลงพยายามตั้งสติ
“ฮือ พี่วินซ์ไม่เคยมองมุกเป็นคนรักสักครั้งเลยเหรอคะ มุกขอแค่เศษความรักก็ได้”
“ขอโทษทีนะปิ่นมุกตอนนี้ผมหมั้นแล้ว” เขาไม่ยอมหันไปมองปิ่นมุก เพราะเขาเองก็กลัวเช่นกันให้ทุกอย่างมันจบแบบนี้ดีแล้ว
“ถ้าคุณท้องจริงๆ ผมยินดีรับผิดชอบแค่ลูก”
คำพูดสุดท้ายนั้นปักเข้ากลางใจเธออย่างแม่นยำ เขาหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง เหลือเพียงปิ่นมุกที่นั่งทรุดอยู่ตรงนั้น เหมือนเศษฝุ่นที่ไม่มีใครแลเหลียว
เสียงแก้วกระทบโต๊ะไม้เก่าดังแว่วในร้านเหล้าริมถนนสายเล็กที่แทบไม่มีผู้คนเดินผ่าน ราวกับซอยนี้ถูกลืมจากโลกภายนอก แสงไฟนีออนสลัวๆ ที่กะพริบเป็นจังหวะช้าๆ เหมือนหัวใจที่ใกล้ดับลง
ปิ่นมุกนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านมุมที่มืดที่สุดและเงียบที่สุด เหล้าถูกเทลงแก้วซ้ำแล้วซ้ำเล่าเธอยกมันขึ้นดื่มโดยไม่ลังเล รสขมเผ็ดร้อนแล่นผ่านลำคอจนถึงอกซ้ายที่ยังเต้นเพราะความเจ็บปวด
เธอเคยเป็นผู้หญิงสุขุมเรียบร้อยพูดน้อยแต่จริงใจ แต่ค่ำคืนนี้เธอกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง ขำกับโชคชะตาขำกับตัวเองที่รักเขาเหมือนคนตาบอด
“ฮะๆๆ นี่สินะที่เรียกว่าความรักตอนอยากได้อะไรก็พูดดีไปหมด ” เธอพูดพลางกลั้วหัวเราะก่อนจะยกแก้วขึ้นซัดอีกครั้ง
เสียงหัวเราะของเธอสั่นเครือเปื้อนน้ำตา รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บช้ำ น้ำตาไหลไม่หยุด ราวกับร่างกายพยายามขับไล่ความรู้สึกทุกอย่างที่มันเก็บกดมานานเกินไป
“เขาบอกให้ฉันไปตายอย่างนั้นเหรอ” เสียงเธอเบาเหมือนกระซิบกับตัวเอง
‘ถ้ามุกลืมพี่ไม่ได้จริงๆ มุกจะตายให้สมกับความตั้งใจของพี่ที่อยากให้มุกหายไปจากชีวิต ขอให้ตั้งแต่วินาทีที่มุกไม่อยู่บนโลกนี้ พี่จะไม่มีวันลืมมุกแม้เพียงเสี้ยววินาที’
‘มุกขอสาปแช่งให้หัวใจของพี่รักและคิดถึงแต่มุกคนเดียวจนวันตาย แม้พี่จะอยู่กับใครมุกขอให้พี่ไม่มีวันมีความสุข’
เธอกดส่งข้อความหาเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดเครื่อง ปิ่นมุกตัดสินใจเดินโซเซออกมา ริมถนนสายเล็กเงียบเหงา รองเท้าส้นสูงคู่สวยถูกถอดออก หอบไว้ในมือเธอเดินเท้าเปล่าบนพื้นเย็นเยียบของฟุตบาท
“ถ้าพี่ไม่ต้องการมุกงั้นมุกก็จะไม่อยู่ให้รบกวนอีกแล้ว สุขสันต์วันหมั้นนะคะ” เธอพึมพำกับตัวเองเบาแผ่ว เหมือนสายลมพัดผ่าน เธอหลับตาลงแผ่วเบา ยกเท้าก้าวแรกลงไปบนพื้นถนน
“เจ็บไม่พอยังรักเขาหัวปักหัวปำ จากนี้ไปขอสวรรค์เมตตาไม่ตายก็ให้ลูกลืมเขาไปจนหมดหัวใจ” เธอยกมือไหว้และพูดคนเดียวราวกับคนบ้า เธอแทบไม่มีสติหัวใจเฝ้าบอกรักแต่ธรรศชวิน
เอี๊ยด! โครม!
เสียงเบรกดังลั่น! เสียงยางรถเสียดกับถนนดังขึ้นเพียงชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีแม้แต่ความตื่นตระหนกในดวงตาคู่นั้น
ปิ่นมุกหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้ารอยยิ้มของคนที่เจ็บจนลึก ไม่มีน้ำตาจะไหล ไม่มีอะไรให้ต้องหวัง หรือคว้าไว้ได้อีกต่อไป และแล้วทุกอย่างก็มืดดับลง
อีกฝ่ายเปิดประตูรถลงมาเมื่อเห็นว่าปิ่นมุกไม่ได้สตินอนจมกองเลือดอยู่จึงเหยียดยิ้ม และกลับขึ้นรถไปเพราะกลัวว่าจะมีคนเห็นเหตุการณ์
รถเก๋งขับผ่านไปไม่คิดแม้แต่จะช่วยเหลือ จนกระทั่งฝนโปรยลงมาและมีพลเมืองดีขับผ่าน จึงโทรเรียกรถพยาบาลแต่อาการคนเจ็บบาดเจ็บสาหัส ถ้ารอดไปได้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหารย์ เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง
