บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 เริ่มสร้างแลนด์มาร์ค

ความจริง สาวโบ๊ะก็ไร้ประสบการณ์เรื่องนี้โดยสิ้นเชิง กระทั่งจูบยังจูบไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ อีกอย่าง ชาติที่แล้วก็มีร่างเป็นชาย เลยไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อดี นั่งมองริมฝีปากหยักอยู่นานสองนาน กำลังคิดถึงท่าทางที่ดูมาจากทีวี เอียงหน้าไปทางซ้ายก็แล้ว ขวาก็แล้ว ยังไงก็ยังไม่เหมาะเสียที จนฮั่นหยางต้องเป็นฝ่ายโน้มต้นคอของนางให้ก้มลงมา แล้วประทับจุมพิตลงไปเสียเอง

เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน ร่างบอบบางถึงกับสั่นสะท้าน ฉากในหนังเรื่องไหนๆ ที่เคยดูมา ก็ไม่อาจให้ความรู้สึกฟินได้เท่าของจริง

พอฮั่นหยางจะถอนริมฝีปากออก มี่อิงเลยรีบรั้งต้นคอเอาไว้ ก่อนจะแย่ปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกคนอย่างเงอะๆ เงิ่นๆ

จากจูบหวานล้ำ ค่อยๆ เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนลมหายใจทั้งคู่เริ่มถี่กระชั้น ฝ่ามือทั้งสองต่างลูบไล้เรือนร่างของกันและกันไปมา

ทุกอย่างก็เหมือนจะดี แต่อยู่ๆ ฮั่นหยางก็ผละออกไปนั่งหน้าเครียด “ข้าทำได้ มันไม่.... อิงเอ๋อ ข้าขอโทษ!”

เด็กสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์วาบหวาม ได้แต่กอดร่างแกร่งเอาไว้แน่น ให้อีกคนซบหน้าลงบนทรวงอก เพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง พักใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้น “ไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ ท่านพี่อย่าคิดมาก ค่อยเป็นค่อยไป สักวันพวกเราต้องทำมันได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

“อืม” ชายหนุ่มตอบรับในลำคอ

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ทั้งสองก็พากันขึ้นเตียง สองสามีภรรยาทำเพียงแค่นอนกอดกันหลับใหลในคืนวันเข้าหอ จนกระทั่งเช้า

ด้วยความเคยชินจากชาติที่แล้ว โบ๊ะจึงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เตรียมตัวจะไปทำน้ำเต้าหู้ พอนึกได้ว่าเวลานี้ตนเองเป็นใคร เลยได้แต่ลุกไปทำงานบ้านแทน เพราะความที่เป็นคนชอบอากาศเย็น สาวโบ๊ะเลยไม่มีปัญหาอะไร ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ขนาดฟ้าสางแล้วก็ยังไม่หยุด

“อิงเอ๋อ เหตุใดถึงได้ตื่นเช้านัก แล้วนั่นออกไปตากน้ำค้างทำไม เดี๋ยวจะป่วยเอา รีบเข้ามาเถิด”

พอได้ยินเสียงทุ้มนุ่ม มีอิงก็รีบทิ้งไม้กวาด วิ่งเข้าไปกอดสามีด้วยรอยยิ้มกว้าง “มอนิ่งค่ะ ที่รัก”

“น้องว่าอะไรนะ”

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เด็กสาวเขย่งปลายเท้าขึ้นไปหอมแก้มชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว จนฮั่นหยางตกใจยืนตัวแข็งทื่อ พอตั้งสติได้ วงแขนก็กอดตอบร่างบางโดยไม่รู้ตัว หลัวฮั่นหยางได้แต่ขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ ที่มอบภรรยาผู้นี้มาให้

“ท่านพี่จะออกไปทำงานตอนไหนเจ้าคะ”

“ว่าจะไปเช้าหน่อย ไปเบิกเงินเถ้าแก่ตู้มาซื้อข้าวสาร”

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปเลือกดูข้าวของในหีบเอาไปขายสักชิ้นสองชิ้นดีกว่า”

“แต่นั่นมันเป็นสินเดิมของเจ้า พี่ไม่อาจ....”

“เราคุยกันแล้วนะเจ้าคะ” มี่อิงรีบเอ่ยขัด ทั้งยังไม่รอให้ชายหนุ่มได้คิดมาก จับจูงอีกฝ่ายก้าวเข้าไปในห้อง

แต่หลังจากที่ค้นดูข้าวของในหีบ กลับมีเพียงแค่ห้าชิ้นที่สามารถขายเป็นเงิน ทำให้มี่อิงที่พึ่งได้ยินสามีบอก ต้องสบถด่าออกมาอย่างหัวเสีย ยังดีที่ฮั่นหยางฟังไม่เข้าใจ

“ตอนที่ตระกูลหลัวส่งของหมั้นไป มีเยอะไหมเจ้าคะ”

“เยอะอยู่ ตอนนั้นที่บ้านพี่มีฐานะ ท่านพ่อเลยส่งไปเกือบห้าสิบหีบ แต่ละหีบล้วนเป็นของดีมีราคา นั่นยังไม่นับหีบเงิน หีบทอง”

“บัดซบ! ตระกูลฉวีพวกนั้นชั่วช้าเกินไปแล้ว” พอได้ยินอย่างนั้นมี่อิงก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “เห็นทีคงต้องทำให้รู้สึกเสียบ้าง”

“อิงเอ๋อ ใจเย็น อย่าได้โมโหไปเลย” ทั้งๆ ที่ตนเองก็โกรธไม่ต่างอะไรกับภรรยา แต่ฮั่นหยางยังเอ่ยปลอบอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

“พวกเราเอาของไปขายกันเถิดเจ้าค่ะ ท่านพี่พอรู้จักที่ไหมเจ้าคะ พาน้องไปที น้องจะขายทิ้งให้หมด!”

ดวงตาคมเข้มเหลือบมองเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะพยักหน้า

“ถ้ายังนั้นพวกเรารีบไปกันเถิดเจ้าค่ะ จะได้รีบซื้อของมาทำกับข้าวให้ท่านแม่”

พอได้ยินอย่างนั้น ฮั่นหยางก็อึ้งไปเล็กน้อย ไม่นึกว่ามี่อิงจะห่วงใยมารดาของตัวเองถึงเพียงนี้ กระทั่งถูกดึงมือ ถึงได้ลุกตามเด็กสาวออกไป

ตลาดเมืองซื่อโจว

พอรู้ว่าร้านอยู่ตรงไหน มี่อิงก็บอกให้สามีรออยู่ข้างนอก เพราะนางเข้าใจเรื่องศักดิ์ศรีของบุรุษในยุคสมัยนี้ดี จึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องอับอาย แต่ฮั่นหยางกลับตามนางเข้าไปในร้าน

“เถ้าแก่พวกนี้มากเล่ห์ หากพี่ปล่อยให้น้องเข้าไปคนเดียว คงได้ถูกกดราคา ให้พี่จัดการเองเถิด ไม่ต้องห่วง เรื่องเช่นนี้ พี่เคยทำบ่อย”

ได้ยินอย่างนั้น มี่อิงรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย จากที่ฟังอีกฝ่ายเล่า ดูก็รู้ว่าชีวิตของฮั่นหยางลำบากลำบนมากแค่ไหน มิหนำซ้ำยังเคยเป็นคุณชายร่ำรวยมาก่อน พอต้องมาใช้ชีวิตตกต่ำให้ผู้คนดูถูก คงไม่เพียงแค่ลำบากกายเป็นแน่ มี่อิงนึกสงสารสามีจับใจ “ท่านพี่ สักวันข้าจะทำให้ตระกูลหลัวกลับมามีตามีตาอีกครั้งให้ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่จะได้ไม่ต้องกัดฟันทนให้ใครดูถูกอีก”

“ขอบใจมากนะอิงเอ๋อ” ไม่รู้เพราะอะไร ฮั่นหยางถึงได้เชื่อคำพูดของเด็กสาว บางทีอาจเป็นเพราะแววตาเด็ดเดี่ยวคู่นั้นทำให้เกิดความเชื่อมั่นก็เป็นได้

ทั้งสองเดินเข้าไปถึงหน้าโต๊ะของเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำ แค่ชายวัยกลางคนเห็นหน้าฮั่นหยาง ก็เหยียดยิ้มทันที “เจ้าอีกแล้วหรือ คราวนี้จะเอาขยะอะไรมาขายให้ข้าอีก”

แม้จะโดนดูถูกแต่ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังเรียบนิ่ง แต่คนที่โกรธกลับเป็นคนด้านหลัง มี่อิงวางของในกล่องลงบนโต๊ะอย่างแรง ดึงสามีให้ไปยืนอยู่เบื้องหลัง “ไม่ใช่เขาที่เอาของมาขาย แต่เป็นข้า! จะดูไหม ถ้าไม่ดูข้าจะได้ไปขายร้านอื่น เมื่อครู่ข้าจะเข้าไปร้านนั้น แต่เขาเป็นคนชวนข้ามาร้านนี้ รู้อย่างนี้ เข้าร้านนั้นตั้งแต่ที่แรกก็คงจะดี”

ที่มี่อิงกล้าเอ่ยเช่นนี้ เพราะว่าก่อนหน้าที่จะมาถึงที่นี่ ฮั่น หยางเล่าเรื่องโรงรับจำนำพวกนี้ให้ฟังแล้ว ร้านทั้งสามต่างไม่ลงลอยกัน มี่อิงเลยใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์ และมันก็ได้ผล เพราะท่าทางดูถูกดูแคลนเมื่อครู่ของเถ้าแก่ เปลี่ยนไปทันที

“ใจเย็นก่อนแม่นาง ดูๆ ข้าจะดูเดี๋ยวนี้”

มี่อิงลอบหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้สามี ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง ฮั่นหยางเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ กระทั่งเถ้าแก่ดูเครื่องประดับในกล่องเสร็จถึงได้ขมวดคิ้วหันมาเอ่ยกับเด็กสาว “ของพวกนี้ไม่มีราคาเท่าไหร่ ข้าให้เต็มที่ ก็ห้าตำลึง”

มี่อิงหันไปมองฮั่นหยางเห็นเขานิ่วหน้าก็เข้าใจทันที จากประสบการณ์อันโชกโชนเรื่องจำนำข้าวของจากชาติที่แล้ว มีหรือโบ๊ะจะยอมเสียเปรียบ

“สิบห้าตำลึงขาดตัว ถ้าไม่เอาข้าจะไปขายร้านอื่น!”

“นี่! แม่นางของแค่นี้ ต่อให้ไปร้านอื่นก็ไม่มีใครให้มากเท่าข้าอีกแล้ว เผลอๆ อาจจะให้น้อยกว่าด้วย อีกอย่างถ้าเจ้าก้าวออกไปแล้ว ย้อนกลับมาข้าไม่ซื้อแล้วนะ!”

“ได้! งั้นข้าไปร้านอื่น!” เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลง ตั้งท่าจะเก็บของใส่กล่อง

“เดี๋ยวๆ เจ้านี่ใจร้อนจริง เอา สิบห้าก็สิบห้า ถือว่าพวกเราพึ่งทำการค้าครั้งแรก ข้าจะยอมขาดทุนหน่อยก็แล้วกัน”

มี่อิงได้แต่เบ้ปากในใจ ก่อนจะรับถุงเงินมายื่นให้สามีตรวจสอบ พอเห็นเขาพยักหน้า ทั้งสองก็พากันออกจากร้าน

“ท่านพี่ เมล็ดพืชผักแพงไหมเจ้าคะ น้องอยากจะทำสวนผักในจวน” พอเดินออกมาได้หน่อย มี่อิงก็หันไปถามร่างสูงที่เดินอยู่ข้างกาย

“หนึ่งชั่ง ราคายี่สิบอีแปะ”

ด้วยความรู้ที่มีอยู่ในหัว โบ๊ะสามารถคำนวณได้ทันที เมล็ดผัก ราวครึ่งกิโล ราคาแค่ยี่สิบอีแปะนับว่าไม่แพง ถ้าข้าวของที่นี่ถูกเช่นนี้ สิบห้าตำลึงที่ได้มาก็มากโขอยู่

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราซื้อของสด แล้วรีบกลับไปทำกับข้าวให้ท่านแม่ก่อน เดี๋ยวน้องค่อยออกมาหาซื้อพร้อมท่านพี่ ตอนไปทำงานดีหรือไม่เจ้าคะ”

“อืม ตามใจเจ้า”

จากเดิมที่ในหัวของกะเทยหลงยุคมีแต่เรื่องหาผัว เวลานี้กลับไม่ใช่เรื่องเดียวแล้ว เพราะสาวโบ๊ะตั้งใจจะสร้างแลนด์มาร์ค

พอมาถึงตลาดสด เด็กสาวก็เลือกซื้อข้าวของอย่างชำนาญ ซ้ำยังต่อรองราคาได้ดียิ่งกว่าพ่อค้าคนกลางเสียอีก จนฮั่นหยางเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ก็เหมือนว่าฉวีมี่อิงจะทำเรื่องให้ชายหนุ่มแปลกใจจนชิน เพราะตั้งแต่แต่งงานกันเมื่อวานจนถึงวันนี้ยังไม่มีเรื่องไหนธรรมดาเลยสักอย่าง

ไม่นานทั้งสองก็รีบพากันกลับจวน ตอนแรกฮั่นหยางคิดจะเข้าไปช่วยภรรยาทำกับข้าว แต่กลับถูกไล่ให้ออกมา ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปดูแลมารดาแทน

“ท่านแม่ ตื่นหรือยังขอรับ”

“ตื่นแล้ว เข้ามาเถิด”

ฮั่นหยางเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำเพื่อให้มารดาได้ล้างหน้าล้างตา กระทั่งเสร็จ ฉวีฮูหยินถึงได้เอ่ยปาก

“เมื่อคืนอิงเอ๋อรู้เรื่องของลูกแล้วใช่หรือไม่ นางว่าอย่างไรบ้าง”

“ทราบแล้วขอรับ นางได้แต่บอกว่าจะพยายามไปพร้อมกับลูก เมื่อเช้านางยังตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ลุกมาทำงานบ้าน มิหนำซ้ำยังเอาสินเดิมไปขายจนหมด เพื่อเอาเงินมาซื้อข้าว ท่านแม่ ลูกรู้สึกผิดต่อนางยิ่งนัก”

“นับว่าสวรรค์ยังมีตา ถึงได้ส่งมี่อิงมาให้ตระกูลหลัว อาหยางเจ้าห้ามทำให้น้องเสียใจเป็นอันขาดเลยนะ ชาตินี้เจ้าคงหาภรรยาที่ดีเช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว”

“ขอรับ ลูกจะรักและดูแลน้องอย่างดี จนกว่าผมเผ้าจะหงอกขาวไปด้วยกัน”

“ดี ดีแล้ว แต่สำหรับตระกูลฉวีนั่น แม่ไม่มีวันอภัยให้” หลัวฮูหยินเอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม ในใจมีแต่ความเคียดแค้น ฮั่น หยางเองก็ไม่ต่างกัน

“ลูกก็เหมือนกันขอรับ”

ทางด้านมี่อิงยังทำกับข้าวอย่างอารมณ์ดี ใบหน้างามแฝงไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ในชีวิตที่แล้ว โบ๊ะผ่านความลำบากมาเยอะกว่านี้ตั้งไม่รู้กี่เท่า พอมาอยู่ที่นี่ จึงไม่มีปัญหา

ในอดีตครอบครัวของโบ๊ะเปิดโรงปั้น ทำเครื่องปั้นดินเผาส่งออก กระทั่งเศรษฐกิจซบเซา จนต้องปิดกิจการ จากนั้นก็มาเปิดโรงงานทำวุ้นเส้น ก็เจ๊งอีก พออายุได้สิบแปด แม่ก็มาเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตครึ่งตัว พ่อก็ดันทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่ โบ๊ะเลยจำต้องเรียนแค่มัธยมปลาย เพราะต้องออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงดูแม่ที่เหลือเพียงคนเดียว

ความจริงชีวิตที่ผ่านมาของโบ๊ะแทบไม่ต่างอะไรกับหลัวฮั่นหยาง เพียงแต่อีกฝ่ายยังมีสมบัติเป็นจวนหลังใหญ่ ส่วนโบ๊ะนั้นไม่มีอะไรเลย ด้วยความอดทนเก่งถึงได้ผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้ กระทั่งแม่ตายจากไป โบ๊ะถึงได้เข้ามาขายน้ำเต้าหู้อยู่ในกรุงเทพ

ยิ่งนึกไปถึงอดีตของตัวเอง สาวโบ๊ะก็ยิ่งมีความสุข “โรงปั้น?” อยู่ๆ ก็เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรได้ รีบลงมือทำกับข้าอย่างรวดเร็ว ความจริงช่วงเช้าเช่นนี้ คนที่นี่มักกินเพียงโจ๊ก โบ๊ะยังคิดว่าพรุ่งนี้จะลองทำน้ำเต้าหู้กับทอดปาท่องโก๋ให้แม่สามีกิน วันนี้เลยได้แค่ต้มโจ๊กใส่เห็ดหอม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel