บทที่ 1 รวยทางลัด?
Matsarin’s Part
SKL Real Estate
เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
นี่คือคำที่ฉันใช้ปลอบใจตัวเองในตลอดยี่สิบห้าปีที่ลืมตาขึ้นมาดูโลก โลกที่แสนโหดร้าย สถานที่ที่คนมีเงินและอำนาจเท่านั้นที่จะอยู่รอดต่อไปได้ ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของฉันตายไปเมื่อสิบปีก่อน ฉันก็ถูกส่งไปอยู่กับป้า...ไม่ต้องถามหาความสะดวกสบาย ไม่ต้องถามหามื้ออาหารแสนอร่อย แค่มีที่ซุกหัวนอนกับข้าวเปล่าคลุกน้ำปลาเพื่อประทังชีวิต นั่นก็ถือว่าเป็นบุญหัวของฉันแล้วล่ะ ฉันคิดว่าการที่พ่อแม่ฉันตาย มันคือจุดสิ้นสุดของโลกใบนี้แล้ว แต่เปล่าเลย...จุดสิ้นสุดจริงๆ มันคือวันที่ฉันทนความทรมานไม่ไหวแล้วตายไปต่างหาก
ฉันสู้ทนเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัย ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ต้องเก็บเล็กผสมน้อยเพื่อให้มีเงินจ่ายค่าเทอม เพราะป้าของฉันไม่ได้มีเงินที่จะเลี้ยงฉันหรอก...ฉันได้แต่คิดว่าฉันต้องเก่ง ต้องฉลาด และสวย นั่นคือทางเดียวที่จะทำให้ฉันอยู่รอดได้ แต่...ความเก่ง ความฉลาด ความสวย มันช่วยไม่ได้เลย เมื่อหกเดือนก่อนป้าของฉันป่วยหนักจนต้องเข้าไปนอนนิ่งอยู่ที่โรงพยาบาล และเป็นฉันที่ต้องหาเงินไปจ่ายค่ารักษาป้าที่เลี้ยงฉันมาสิบกว่าปี อีกทั้ง...เจ้าหนี้เก่าของพ่อและแม่ตามหาฉันจนเจอ
“ไอ้มัต! นั่งเหม่ออะไรแต่เช้า?” เสียงของถิงถิง คนที่เป็นทั้งเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงานของฉันดังขึ้นมา ปลุกให้ฉันตื่นจากความคิดในทันใด
“หืม?” ฉันหันไปมองเพื่อนที่เดินถือแก้วกาแฟเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานตรงข้ามกับโต๊ะของฉัน
“ฉันถามว่าแกคิดอะไรอยู่? อย่าบอกนะว่าคิดเรื่องผู้ชาย...” ถิงถิงยกยิ้ม ส่งสายจับเป็นเชิงจับผิดมาทางฉัน
“คิดเรื่องผู้ชายมันเสียเวลาแกไม่รู้เหรอ?” ฉันถามกลับ
“ไม่นะ ฉันชอบคิดเรื่องผู้ชาย สนุกดีออก...”
“หึ! เพราะแกไม่ได้มีหนี้ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก่อนตายเหมือนฉันนี่ แกเลยคิดแบบนั้นได้”
“อีกแล้วๆ บ่นถึงเรื่องหนี้ล้านนึงอีกแล้ว...ฉันบอกแกแล้วไง ว่าคนระดับอย่างเราน่ะ จะมีเงินล้านในบัญชีได้ ก็ต่อเมื่อมีผัวรวย...” ขณะนั้นถิงถิงก็ทำตาล่อกแล่ก มองซ้ายทีขวาที
“...”
“เหมือนบอสเราไง...” อีกแล้ว...นี่เป็นอีกครั้งที่ถิงถิงกำลังจะงัดทักษะพิเศษเฉพาะตัวของตัวเองขึ้นมาใช้ นั่นคือทักษะขี้เมาท์
“ถิงถิง ฉันไม่อยากฟังแกนินทาเจ้านาย ฉันจะทำงาน!”
“อีกตั้งสิบนาทีกว่าจะถึงเวลางาน แกไม่เห็นเหรอว่าแผนกเรา ยังไม่มีใครมาเลยนอกจากเราสองคน” เป็นอย่างที่ถิงถิงว่า แผนก HR หรือแผนกทรัพยากรบุคคลของฉันที่มีพนักงานห้าคน กลับมีแค่ฉันกับถิงถิงเท่านั้นมีมาถึงที่ทำงานแล้ว
“อ่ะๆ แกจะพูดอะไรก็พูดมา...” ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้แค่สามเดือน เลยยังไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่ถิงถิงทำมาแล้วหกเดือน บวกกับนิสัยช่างพูดช่างคุย จึงไม่แปลกเลยที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับที่นี่
“คุณไลลาไง บอสใหญ่ของเราน่ะ แกว่านางดูเลิศใช่ไหมล่ะ แบบว่าเพอร์เฟคไปหมดทุกอย่าง สวย รวย เก่ง แถมยังมีสามีที่โคตรหล่อ แล้วก็รวยเวอร์” ถิงถิงทำหน้าตาเมาท์แตก
“แล้ว?”
“ฉันเพิ่งรู้มาว่า นางไม่ได้รวยจริงๆจ่ะ! บริษัทนี้เป็นของพ่อนางก็จริง แต่โดนซื้อหุ้นไปหมดแล้ว...พ่อนางน่ะ แค่มีชื่อเป็นประธานเท่านั้นแหละ ก็ประธานหัวโขนน่ะ แต่คนที่คุมบังเหียนจริงๆ ที่ไม่เคยออกหน้าเลย ก็คือนายทุนต่างประเทศจ่ะ!”
“มีอะไรแปลก?”
“ก็ฉันเพิ่งรู้มา แค่อยากจะเมาท์ ที่จริง...คนเรามันดูกันแค่ภายนอกไม่ได้หรอกนะ อย่างคุณไลลา นางดูสวย เริ่ม เชิด แพง แต่จริงๆแล้วไอ้ของแพงๆที่หุ้มตัวนางอยู่มาจากเงินของสามีนางทั้งนั้น แกยังไม่รู้อะไร...สามีคุณไลลาน่ะ ถึงเป็นแค่อาจารย์มหาลัยธรรมดาๆ แต่เขาเป็นหลานคนเดียวของคุณหญิงกีรติล่ะ”
“ใครคือคุณหญิงกีรติ?”
“ก็คุณหญิงกีรติ อินทรสกุล ผู้ดีเก่า เศรษฐีที่ดิน คุณย่าของอาจารย์ กัลป์ อินทรสกุล สามีของคุณไลลาไงล่ะ!”
“แล้ว?”
“ย้อนกลับไปที่เรื่องของแก ฉันแค่อยากจะบอกว่า...ผู้หญิงสาวๆสวยๆอย่างเรา...แค่ เก่ง ฉลาด มันไม่พอหรอก ต้องมีผัวรวยแบบคุณไลลาด้วย”
“หึ! ไร้สาระน่ะ สรุปสุดท้ายแกก็หวังจะรวยทางลัดอยู่ดี” ฉันทำเสียงดุใส่ถิงถิง
“ใครจะแคร์ว่ามันเป็นทางตรงหรือทางลัด ขอแค่ได้เงินมาใช้หนี้ มาซื้ออาหารดีๆกิน ซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แค่นั้นมันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้ มันไม่ได้ทำให้แกอยู่รอดได้ แกก็รู้นี่ไอ้มัต!”
กริ๊ง...กริ๊ง...!
ในตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ประจำโต๊ะทำงานของฉันก็ดังขึ้นมา
“มัตสริน แผนก HR ค่ะ” ฉันรีบคว้ามันขึ้นมารับสาย
[คุณมัตสรินคะ มีแขกมาขอพบคุณอยู่ที่ล็อบบี้ฉันหนึ่งค่ะ]
“ค่ะ เดี๋ยวมัตจะลงไปเดี๋ยวนี้ค่ะ
“ใครโทรมาวะแก?” พอฉันวางสาย ถิงถิงก็ถามขึ้นมาทันที
“ล็อบบี้ชั้นล่างอ่ะ เดี๋ยวฉันมานะ” ว่าแล้วฉันก็ลุกจากโต๊ะทำงานแล้วเดินออกมาจากแผนก เพื่อลงไปที่ล็อบบี้ของบริษัท
และเมื่อฉันมาถึงล็อบบี้ ฉันก็ได้เห็น...ว่าใครกันที่มาขอพบฉัน มันคือลูกน้องของเจ้าหนี้พ่อแม่ฉันเองล่ะ พอเห็นฉัน พวกมันก็ส่งสัญญาณมือ ให้ฉันเดินตามออกไปยังที่จอดรถ ฉันจำเป็นต้องทำตาม จะกระโตกกระตากออกไปไม่ได้ เพราะถ้ามีคนรู้ว่าฉันมีพวกทวงหนี้มาตามถึงที่ทำงานแบบนี้ ฉันโดนไล่ออกตั้งแต่ยังไม่ผ่านโปรแน่ๆ
“มีอะไร?!” ฉันเอ่ยถามพวกมัน เมื่อเดินออกมาถึงที่จอดรถ ซึ่งชั้นหนึ่งนี้คือชั้นจอดรถของระดับผู้บริหาร
“เดือนนี้เธอยังไม่โอนเงินเข้ามา นี่เลทไปห้าวันแล้วนะ” หนึ่งในวันจ้องหน้าฉันนิ่ง
“เงินเดือนฉันยังไม่ออก”
“โกหก! เงินเดือนเธอออกไปแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นี้พวกฉันไม่พลาดหรอกน่ะ!”
“...”
“ภายในเย็นวันนี้ เงินสองหมื่นต้องเข้าบัญชี ไม่งั้น...ไอ้คนในรูปนี่ มันจะถอดเครื่องช่วยหายใจของป้าเธอ!” มันไม่พูดเปล่า ยื่นมือถือที่เปิดหน้าจอรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเตียงพยาบาลของป้าฉันมาให้ดู
“ทำเลยสิ ฉันจะได้หมดภาระแล้วหนีไปจากคนเฮงซวยอย่างพวกแกได้สักที!”
เพี้ยะ!
“ฮึก!” ความเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดก่อตัวขึ้นในทันทีที่มันฟาดมือลงมาที่หน้าฉัน
“ปากดี...ถ้าเธอยังไม่มีเงินหนึ่งล้านมาใช้หนี้ ก็อย่าหวังที่จะเป็นอิสระจากพวกเราได้!”
“...”
“ไปกันเถอะ!” ขณะที่พวกมันพากันเดินออกไป เป็นเวลาเดียวกับที่รถยนต์แสนหรูคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดที่ตรงหน้าฉัน ก่อนที่กลิ่นหอมจะโชยเข้าจมูก แล้วผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอจะลงมาจากรถ...
ฉันรีบก้มหน้างุด เมื่อคุณไลลากำลังจะเดินผ่านฉันไป ฉันแอบมองเธอ เห็นว่าเธอชำเลืองหางตามองฉันเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่เธอจะเดินผ่านไป...จริงอย่างที่ถิงถิงว่า ถ้าหากว่าเราได้ทุกสิ่งที่เราต้องการ เป็นอิสระและมีความสุข ได้ขับรถหรูๆราคานับสิบล้าน ได้ใช้กระเป๋าแพงๆ ใส่เสื้อผ้าดีๆ ใครกันล่ะที่จะสน...ว่าเงินพวกนั้นมันจะมาจากไหน เพราะยังไงศักดิ์ศรีก็ไม่ทำให้เรามีข้าวกินอยู่แล้ว...
