6
เสียงดนตรีผสานแสงไฟ วับแวมกรีดกรายเป็นจังหวะแช่มช้อย
Club lover มีนักดนตรีบรรเลงสดมีชื่อ ที่เล่นเปียโนและไวโอลินได้ลงตัว แบบไม่ใช่จะหาฟังได้ง่ายๆ ที่ไหน
จังหวะอ่อนโยนแต่ทว่าชวนโยก กล่อมเกลาให้บรรยากาศนอกจากจะผ่อนคลาย ยังสร้างความครึ้มใจจนแอบสนุกเจือไปด้วย
ถูกใจคนที่เลือกนั่งจิบไวน์เบาๆ บนโซฟานิ่มๆ ปรายตามารับชมบนฟลอร์ที่มีหญิงชายยืนโยกกายตามจังหวะไปมาเป็นระยะ
เขาไม่ได้มาที่นี่ได้ราวสองสามวัน เพราะเพิ่งกลับจากเกาะส่วนตัว ที่จัดประชุมเกี่ยวกับแบรนด์ใหม่อยู่ที่นั่น
แม้ว่าหลังจากคืนนั้น...
เขาจะมาที่นี่บ่อยครั้ง เกินกว่าปกติ แต่เขาก็ไม่อาจเผยความรู้สึกใดผ่านริมฝีปากหรือแววตา
มีเพียงเอ่ยถึงคนคนหนึ่งก็เท่านั้น
'เธอเต้นรำสวยดี' เขามานั่ง ณ ที่นี้ บนโซฟาตัวนี้ แทบจะทุกวันได้
แต่ไม่เคยสั่งอาหารจานไหนไปกินจริงจังเท่าไหร่ และเอาแต่ถามว่านางรำคนนั้น จะมาร่ายร่างยั่วเย้าให้ได้รับชมในวันไหน
'จริงๆ รายนั้นเขามาเป็นครั้งคราวค่ะ ไม่ใช่เด็กประจำ แต่ถ้าคุณธัชสนใจ เจ๊เรียกตัวมาให้ได้นะคะ'
'ยังหรอก แค่อยากชมงานศิลปะ ไม่ได้หิว' ว่าเชิงเรียบ คล้ายไม่ใส่ใจ
แต่มีหรือที่รศสุดาจะไม่รู้ว่า เขาคิดยังไงอยู่ และด้วยความที่เอ็นดูญานินเหมือนหลานแท้ๆ มาตลอด
จึงพร้อมช่วยเหลือทุกอย่าง!
ผู้ชายปากแข็งแบบนี้ เธอชอบนัก...ชอบให้เขาเสียหน้า ตามประสาผู้หญิงที่ทำผู้ชายร้องไห้เว้าวอนถึง ในครั้งที่ยังเป็นสาวเบอร์หนึ่งของที่นี่
'ถ้าอย่างนั้นค่อยโล่งใจหน่อยค่ะ เพราะรายนี้เนี่ยเขาฮ็อต มีคนมาเข้าคิวรอเพียบ เจ๊จะได้ไม่ลำบากใจเวลาจัดคิวน่ะค่ะ' ประโยคบอกเล่าอย่างโล่งใจจริงแท้ ทำเอาหัวคิ้วของคนช่างขรึม เคลื่อนไหวเล็กน้อย
'เขารับงานไม่เลือกเหรอครับ" ริ้วความไม่พอใจฉายอยู่ในน้ำเสียงนั้น จนคนยิ้มแป้นแทบอยากจะหันไปแอบหัวเราะให้สะใจ
'ก็เลือกค่ะ เลือกเยอะ...แต่คนเข้าคิวเนี่ย กระเป๋าหนักทั้งนั้น' เหมือนสุมเชื้อเพลิงเข้ากองไฟ สนุกใจผู้จัดการ club นัก
'หึ ผู้หญิงก็เห็นแก่เงินเหมือนกันหมด' ประโยคค่อนแคะในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในใจของเขาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตอนที่กำลังละเลียดไวน์นุ่มๆ เชื่องช้าด้วยปลายชิวหารุ่มร้อน
รศสุดาแจ้งกับเขาว่าค่ำคืนนี้ งานศิลปะที่เขาเฝ้ารอจะขึ้นแสดงหลังจากที่หายไปพักใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องมาได้แน่ๆ แม้ในใจจะแอบคิดว่าเธอจะต้องมาในคืนนี้ เพราะเธอเพิ่งกลับมาจากประจวบคีรีขันธ์
เสียงปรบมือแซ่ซ้องเรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ ฟลอร์ทั้งฟลอร์ว่างเปล่า แสงไฟฉายส่องไปยังจุดกึ่งกลาง ดนตรีเบาเสียงลงดุจรอคอยร่างร่างหนึ่งที่ทุกคนต่างจดจ้องเพื่อมองหา
'หยิน' อยู่ในชุดสีแดงเพลิงตามแบบฉบับ ชุดราตรีของเธอยาวเฟื้อยลากพื้นแต่แหวกช่วงโคนขาหนึ่งข้างมาจนเกือบถึงค่อนสะโพก ผิวขาวผุดผ่องของเธอ เขาเคยลูบไล้ ต้องแสงไฟจนเกิดประกายสะท้อน เอวคอดกิ่วสอดรับลีลาการปักผ้าด้วยขนนก ระย้า ลาดไล้ไปจนถึงส่วนนูนดันขึ้นมาด้านหน้าใจกลางอกสาว
รอยยิ้มพิมพ์ใจสีแดงสดแย้มกว้าง รับกับดวงตากลมโตที่กรีดกรายด้วยเครื่องสำอางหนา ขนตากระพือเชื่องช้า แช่มช้อย จนหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยน้ำลายสอกันเป็นทิวแถว
ไม่ได้มีเพียงเธอที่ร่ายรำอยู่ตรงนั้น หากแต่ความโดดเด่นต้องตา มิอาจทำให้ใครต่อใครละสายตาไปจากดวงหน้าได้รูปนั้นได้ กิตติธัชก็เช่นกัน...
เขากระดกไวน์ที่ละเลียดอยู่ ให้ไหลลงลำคอที่มีลูกกระเดือกใหญ่ไปแบบหมดแก้วญานินในคราบหยินเหลือบมาเห็นเข้าพอดีจนต้องลอบยิ้มในหน้า
เธอรู้ว่าเขากำลังจดจ้องเธออยู่
เธอรู้...แต่เธอทำเป็นไม่ได้สนใจเขาเป็นพิเศษ
แววตาคมกริบที่นิ่งสนิทนั้น แผ่ความไม่พึงพอใจฉายชัดจนแม้หางตาของเธอเองก็ยังสัมผัสได้
เสียงปรบมือดังมาอีกหน เมื่อเธอโยนผ้าคลุมไหล่ออกจากตัว และม้วนท่วงท้าเหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ไวน์แก้วใหม่ถูกหยิบขึ้นมาอีกหน ดวงตาคมที่กำลังก่ำด้วยฤทธิ์ไวน์ส่วนหนึ่งนั้น มีห้วงอารมณ์โกรธกรุ่นปะทุแบบที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้ สายตาแว่วหวานของเธอไง
เขาเห็น...
เห็นว่ากำลังโปรยปรายเรียกให้ลูกค้าทั้งหลาย 'เลือกเธอ'
ใช่ คืนนั้นเขาเองก็เป็นหนึ่งในลูกค้าที่เธอ 'จงใจ' ส่งสายตาให้
แต่ดูวันนี้สิ ดูเธอทำสิ เธอทำเหมือนไม่ได้เห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ ทั้งๆ ที่โต๊ะของเขาอยู่ใจกลางส่วนหน้าของฟลอร์เลยด้วยซ้ำ
"เป็นยังไงบ้างคะ สำหรับโชว์วันนี้" เสียงหวานจ๋อยของคนช่างพูดประดิษฐ์ ทำให้เขาผ่อนคลายความดุประกายจากแววตาลดลงเป็นเรียบเฉย
รศสุดาผู้จ้องมองเขามาสักพัก เลือกที่จะเข้ามาทักทายในเวลานี้
"ก็ดี" สบตากับผู้จัดการร้าน แล้วเลือกที่จะมองไปยังฟลอร์ที่ยังมีการร่ายรำกันอยู่
"แหม ว่าจะแนะนำอาหารจานใหม่ให้ซะหน่อย หรือว่า...วันนี้ก็ยังไม่หิวคะ?" จีบปากจีบคอพูด แบบไม่ได้สนใจท่าทีไม่พึงพอใจอะไรของเขาที่ฉายชัดนัก
"อาหารจานใหม่ หมายความว่ายังไง" เขาหันกลับมาสบตากับรศสุดาตรงๆ อีกครั้ง ดวงตาคมรีหรี่เชิงถาม
"ก็ปกติคุณธัชก็ไม่เคยกินอาหารจานเก่าอยู่แล้วนี่คะ เจ๊ก็เลยเสนออาหารจานใหม่ให้แบบปกติ หรือว่า...มีอะไรผิดปกติเหรอคะ?" ใบหน้าไขสือของรศสุดาสำหรับเขามันช่างน่าพัง Club ให้ยับกันไปข้าง
"ฉันไม่เคยถามหาอาหารจานใหม่" ดวงตาไขสือแปรเปลี่ยนเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรได้!
"ตายแล้ว คุณพระ!" มือที่ค่อย ๆทาบอกนั่น มันช่างน่ายิงทิ้งสำหรับกิตติธัช
เขาเป็นคนอบอุ่นดูเหมือนสุภาพบุรุษ แต่คนที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเขาดีนั้น จะรู้เลยว่าเขามันร้ายกาจได้เพียงใด
"อย่าบอกนะคะ...ว่าคุณธัชจะกินอาหารจานเก่าอีก" ว่าอย่างลำบากใจ จนเขาเข้าใจความหมายทะลุปรุโปร่ง ชายร่างสูงตรงหัวมุมอีกฝั่ง ยืนขึ้นปรบมือให้หยินอย่างออกนอกหน้า