ตอนที่ 4 ของมีตำหนิ
ตอนที่ 4
ของมีตำหนิ
งานมอเตอร์โชว์
สองพี่น้องก้าวเข้ามาในงานมอเตอร์โชว์ใหญ่หรู ซึ่งแบ่งโซนยี่ห้อรถไว้อย่างดี
“แยกไปดูที่มึงชอบก็ได้ ไม่ต้องเดินตามหลังกูหรอก”
“ไหนมึงบอกให้ช่วยเลือกของขวัญให้เค้กไง” คูเปอร์รู้ตั้งแต่แรกว่าโดนหลอก ทว่าเขาอยากจะถามลองเชิงกลับเฉย ๆ
“มึงรู้ทัน กูรู้” เคนตะยกนิ้วชี้ส่ายไปมา ทำหน้าประมาณว่า ‘กูก็รู้ทันมึงเหมือนกัน’
“...” เมื่อพี่ชายพูดอย่างนั้น คูเปอร์จึงยักไหล่ให้แล้วหมุนตัวไปโซนรถบิ๊กไบก์
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ทั้งคู่ต่างแยกย้ายไปในโชว์รูมที่ตัวเองสนใจ
คูเปอร์เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อยังไม่เจอรุ่นที่ถูกใจ ปกติแล้วไม่เคยมาเดินดูแบบนี้ หากถูกใจก็สั่งให้ลูกน้องไปจัดการ แค่นั้นรถรุ่นที่ถูกใจก็มาจอดหน้าบ้านในวันรุ่งขึ้นแล้ว
จนกระทั่ง...บทสนทนาบางอย่างทำให้ร่างสูงใหญ่ถึงกับส่ายศีรษะ เอือมระอากับประโยคแทะโลมพวกนั้น และยิ่งปรายตาไปมองก็เห็นฝูงชายฉกรรจ์กำลังยืนลูบปากบ้าง แสดงอาการดี๊ด๋าจนออกหน้าบ้าง
แต่แล้วบางอย่างส่งผลให้ร่างสูงใหญ่หยุดเดินชะงักทันควัน คูเปอร์ยืนนิ่งราวนับนาที ก่อนจะทิ้งระยะออกจากบริเวณนั้น
“เป็นไง ดีกว่าอยู่บ้านใช่ไหมวะ” เคนตะเข้ามาตบไหล่
“อืม ดีกว่าที่คิด” เสียงนิ่งแฝงด้วยอำนาจบางอย่างเอ่ยตอบทันที
“หึ หมายความว่าไง พูดแปลก ๆ นะมึงเนี่ย” เพราะเขาไม่เคยได้ยินประโยคแบบนี้หลุดจากปากคูเปอร์มานานนับห้าปีได้ แค่มางานมอเตอร์โชว์เดี๋ยวเดียวเปลี่ยนได้ขนาดนี้เลยเหรอ รู้งี้เขาน่าจะชวนมาตั้งนานแล้ว
“ฉันขอตัวก่อน”
“จะไปไหนวะ!?” คิ้วหนาขมวดถาม สงสัยท่าทีของน้องชาย
“ห้องน้ำ”
คูเปอร์ตอบสั้น ๆ แล้วละหายไปจากมุมนั้น ทำให้เคนตะปล่อยไป เดินกลับไปดูรุ่นรถต่าง ๆ ต่อคนเดียว
.
.
ตุบ!
“ขอโทษคา...” แพร์พีญากลืนคำพูดลงคอทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของแผงอกกำยำที่เธอเพิ่งจะชนเข้าอย่างจัง
แววตาที่ก้มลงมาสบตาเต็มไปด้วยความน่ากลัว
เป็นเขาอีกแล้ว...คูเปอร์
“...” นัยน์ตาสีนิลไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะแสยะยิ้มมุมปากอย่างสมเพช
ตึก! ทำให้ร่างบางเลือกที่จะเป็นฝ่ายเดินหนีไปเอง
“ไม่คิดจะทักทาย...” เสียงเข้มดังตามหลังมาติด ๆ
สองเท้าหยุดชะงักกับน้ำเสียงน่าเกรงขามนั้น ทว่าประโยคที่ได้ยินต่อจากนั้นมันเจ็บจี๊ดบาดลึกแผลในอดีต
“...ผัวเก่าบ้างเหรอ”
แพร์พีญาหันกลับไปมองด้วยหางตา ดวงตาสีนิลที่มองเธอมันเต็มไปด้วยการดูถูก แต่เมื่อเป็นคนอื่นต่อกันมานานแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจท่าทีนั้นอีก เธอจึงไม่คิดโต้ตอบแล้วหมุนตัวเพื่อเดินออกไปอย่างที่คิดไว้ทีแรก
หมับ!
ทว่า...ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่คิดจะจบ เมื่อมือหนากระชากร่างบางให้หันไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
“ปล่อย!” แพร์พีญากดเสียงสั่งพร้อมทั้งบิดข้อมือให้หลุดพ้น
“หึ” คูเปอร์แสยะยิ้มมุมปาก “ลืมไปว่าเนื้อตัวเธอมันมีราคา จะแตะจะจับก็ต้องจ่ายเงินก่อนสินะ” เขาพูดดูถูกพร้อมสายตาที่ประมาณตีราคา
“จะพูดอะไรก็เชิญ แต่ช่วยออกไปจากชีวิตฉันอย่างที่เคยทำมาตลอด”
“สำคัญตัวเองมากไปรึเปล่า”
“...” ร่างบางก็นิ่ง แต่ไม่คิดจะหลบสายตาคู่นั้น
“ที่ฉันคุยก็เพราะรู้สึกสมเพชอาชีพใหม่ของเธอต่างหาก”
ฟุ่บ!
ก่อนที่มือหนาจะสะบัดหญิงสาวออกจากการเกาะกุมอย่างแรง
แพร์พีญาจ้องหน้านิ่ง ทว่าสุดท้ายเธอเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำ คนพาลต่อให้พูดดีแค่ไหนก็คงจะไม่เข้าหูอยู่ดี
“มานี่” ทันทีที่ร่างบางเดินผ่านหน้า คูเปอร์กระชากแขนเล็กให้หลบไปด้านหลัง แล้วจึงผลักดันไปยังห้องแต่งตัวคับแคบ
ปึง!
บานประตูปิดลงสนิท ร่างสูงใหญ่ของคูเปอร์เข้ามายืนปิดบังทางออกไว้ พร้อมทั้งยื่นมือค้ำยันเหนือศีรษะร่างบาง
“จะทำบ้าอะไรของนาย” แพร์พีญาตะคอกใส่หน้าทันที
“นาย!?” คูเปอร์ถึงกับทวนคำนั้นซ้ำ
“...” มือบางได้แต่ดันให้เขาออกห่าง เพราะเดาอารมณ์คูเปอร์ไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน ทั้งที่เรื่องเธอกับเขามันจบไปนานมากแล้ว
“ห่างเหินดี ฉันชอบ!” ก่อนที่คูเปอร์จะปรายตาไล่มองใบหน้าเฉี่ยวที่เขาเคยชอบ
ทว่าความรู้สึกตอนนี้ มีแต่...ยิ่งมองยิ่งเกลียด!
“ออกไป ฉันจะกลับไปทำงาน” มือบางดันแผงอกด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทำให้คูเปอร์ถอยห่างไปยืนติดประตู
“ชุบตัวนานไหมกว่าจะเปลี่ยนอาชีพได้”
“ไม่เกี่ยวกับนาย” แพร์พีญาเชิดหน้าตอบกลับไป
“...” คูเปอร์ก็นิ่งทันที
นัยน์ตาสีนิลไล่มองชุดที่ร่างบางสวมใส่ ความเกลียดความแค้นส่งผลให้จับจ้องเนินอกขาวเนียน ก่อนที่ความคิดชั่วร้ายจะผุดขึ้นมาในสมอง
คูเปอร์เดินเข้าไปแนบชิดจนไม่มีช่องว่างระหว่างกัน
“จา…จะทำอะไร” แพร์พีญาประหม่าจนเสียงสั่น
“...” คูเปอร์ไม่ตอบ
กึก!
ทว่าโน้มหน้าก้มลงไปกัดเนินอกที่โผล่พ้นชุดอย่่างเกลียดชัง
“โอ๊ย! จะ..เจ็บ!” มือบางเลื่อนขึ้นมาดันใบหน้าคมออกจากหน้าอกตัวเองด้วยความแรงแล้วก้มมองรอยช้ำแดงจากฟันแหลม ๆ ที่ฝังลงบนเนื้อผิว
“หึ” คนกระทำยืนมองด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ พอใจกับผลงานตัวเอง
“ต้องการอะไร ทำแบบนี้หมายความว่าไงหะ” ตอนนี้แพร์พีญาทั้งโกรธทั้งเกลียดคนตรงหน้า เนื้อตัวสั่นเทาไปหมดอย่างที่ยากจะควบคุม
“แค่เห็นของมีตำหนิแล้วมันขัดตา เลยอยากให้คนอื่นตาสว่างเหมือนกับฉัน”
“เลว!” คราวนี้แพร์พีญายกมือหมายจะฟาดใส่คมสัน
ทว่า...หมับ!
“คิดดีแล้วเหรอ ที่จะตบฉัน” มือหนาบีบรัดข้อมือเล็กไว้แน่น
“...” เธอไม่ตอบ แต่จ้องดวงตาสีนิลอย่างไม่คิดจะหลบ
ฟิ้ว~ ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเล็กอย่างไม่แยแส
“อย่าลองดี ถ้าเธอไม่แน่พอ” เสียงดุดันเอ่ยต่อไม่เว้นจังหวะให้ร่างบางโต้ตอบ
“ออกไป”
“หึ” คูเปอร์หัวเราะออกมาทันที ไม่นึกกว่าผู้หญิงอวดดีจะไร้ไม้ต่อยอมแพ้ง่าย ๆ เขาจึงหมุนตัวหมายจะออกจากห้องแต่งตัว
แต่แล้วคูเปอร์ก็หันมาแสยะยิ้มให้ร่างบางอีกครั้ง “หวังว่ารอยนี้คงไม่ทำให้เธออายจนหนีกลับซะก่อนนะ”
เอ่ยดูถูกเสร็จเขาก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้ร่างบางยืนแข็งชากับคำพูดพวกนั้น
คูเปอร์เหลียวหน้ากลับไปมองด้านหลังด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา สองขาเรียวยาวเดินตรงไปยืนข้างพี่ชายท่าทีสบายอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“หายไปไหนมาวะ” เคนตะถามทันที
“กลับกันเถอะ” แต่คูเปอร์เลี่ยงที่จะตอบโดยเปลี่ยนเป็นเอ่ยชวนแทน
“อะไรของมึง”
“...” ร่างหนาเดินนำออกไป
ตึก! แต่แล้วเขาก็หยุดชะงัก
“อะไรอีก หยุดเดินทำไม!?” ทำให้เคนตะสงสัยกับท่าทีแปลก ๆ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“พรุ่งนี้มีงานอีกไหม”
“เฮ้ย! อย่าบอกนะว่าสนใจใครเข้าแล้ว” คนเป็นพี่ดี๊ด๋าจนออกหน้า เอื้อมมือมาตบบ่าคูเปอร์พร้อมทั้งเหลียวหน้ามองซ้ายมองขวา “คนไหน บอกมา”
“เปล่า แค่ถาม”
“กูไม่เชื่อ คนอย่างมึงเคยถามใครก่อนซะที่ไหน ถ้าไม่อยากรู้มึงจะถามทำไม”
“...” ในเมื่อเคนตะไม่ตอบ คูเปอร์จึงเบี่ยงไหล่ให้มือหนาหลุดพ้นแล้วเดินนำออกไปทันที
“อะไรของมันวะ” เคนตะเองก็เหนื่อยที่จะคาดเดาอารมณ์จึงยอมก้าวเท้าตามไปเช่นกัน
ห้องเช่าท้ายซอย
พีรภัทรสาวเท้าขึ้นบันไดด้วยความเร็วแสง ถ้าเป็นไปได้เขาแทบอยากจะกระโดดข้ามขั้นบันไดให้ถึงห้องพักเร็วที่สุด เพราะข่าวที่รับรู้มาทำให้เขาทั้งโมโหและมึนงงในเวลาเดียวกัน
ปึง!
“พี่แพร ทำบ้าอะไรลงไปวะ” ทันทีที่ปิดประตูห้อง พีรภัทรก็ยิงคำถามใส่พี่สาวทันท่วงที
“...” แพร์พีญาเงยหน้าไปมองต้นเสียง
“รู้ตัวรึเปล่าว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน จะหนีกลับมาทำไม”
“ฟังก่อน อย่าเพิ่งโมโหได้ไหมพีท” ก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยออกมาบ้าง
“จะให้ผมไม่โมโหไม่ได้หรอกนะ พี่เล่นทำไอ้เดียร์มันเสียทั้งหน้าเสียทั้งงานขนาดนั้น” ในงานมอเตอร์โชว์กลับวุ่นวายเมื่อตามหาพริตตี้หน้าใหม่ที่ใคร ๆ ต่างอยากแชะภาพไม่เจอ จนทำให้เดียร์น่าเพื่อนของพีรภัทรยกสายโทรต่อว่าชายหนุ่มจนสายแทบจะไหม้
“เสียหน้า!?” แพร์พีญาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเสียหน้าทั้งที่โชว์รูมของเธอมีคนอื่นแทนที่ตลอดเวลา
“เออดิ ทั้งตากล้องทั้งลูกค้าถามหาแต่พี่แพร”
ร่างบางเข้าใจทันที “ฉันก็ไม่อยากจะหนีกลับหรอกนะ”
ฟึ่บ! ทำให้พีรภัทรทิ้งตัวลงมานั่งข้าง ๆ ต่อว่าไปมันก็สายเกินจะแก้ไขแล้ว
“แต่ก็หนีมาแล้ว” ก่อนที่พีรภัทรจะเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก “ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน คนอื่นเขาเสียงาน”
“จะให้ฉันออกไปยืนโชว์ได้ไง ในเมื่อ...” รอยบ้านั่นเด่นชัดซะขนาดนี้ แพร์พีญาไม่ได้เอ่ยให้พีรภัทรฟัง
“พูดมาพี่แพร” แต่น้องชายที่สนิทที่สุดกลับจับสังเกตได้กับท่าทีนั่น
“เจอคูเปอร์ที่งาน” เสียงแผ่วเบาเอ่ยออกมา
“เจอเฮีย!?”
“อือ” แพร์พีญาพยักหน้าด้วยสีีหน้าเหนื่อยหน่าย
“แล้ว!? ยังไงต่อ” สรุปที่หนีกลับมาเพราะพี่สาวตัวเองขี้ขลาดจนไม่กล้าเผชิญหน้าหรอกเหรอ
แพร์พีญาจึงเล่าทุกอย่างตั้งแต่เริ่ม จนกระทั่งเหตุการณ์เลว ๆ นั่นที่คูเปอร์ทำกับเธอให้น้องชายฟังอย่างไม่คิดปิดบัง
ตุบ! กำหมัดพีรภัทรทุบตีบนเบาะนอนอย่างแค้นใจ
“นี่มันตั้งใจจะกดไม่ให้มีงานทำเลยรึไงวะ”
“...” ร่างบางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคูเปอร์ต้องทำอย่างนั้น ทั้งที่เป็นฝ่ายเดินออกไปจากชีวิตเธอเอง แล้วตอนนี้จะมาทำร้ายจิตใจเธออีกทำไม
“จะกดให้ตกต่ำกันไปถึงไหนวะ มันจะรู้บ้างไหมว่ากำลังหาเงินรักษาลูกมันอยู่”
“...” ร่างบางไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ
“สรุปตระกูลนั่นไม่มีใครดีจริงสักคน เลวกันหมด” พีรภัทรที่เกิดอารมณ์เดือดดาลจึงระบายออกมา นึกไม่ถึงว่าคูเปอร์ที่เคยรู้จักจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ สุดท้ายกาลเวลาก็สามารถเปลี่ยนสันดานคนได้จริง ๆ หรือไม่นี่อาจจะเป็นธาตุแท้ที่ไม่เคยเห็นจากผู้ชายคนนี้
“ทำไมพี่แพรไม่ตอบโต้มันไปบ้าง”
“ตอบโต้แล้วไง สุดท้ายคนที่แพ้คือเราอยู่ดี” แพร์พีญาตอบอย่างเหนื่อย ๆ กี่ครั้งแล้วที่ต้องหนีไม่มีที่อยู่ ทั้งโดนอำนาจกดขี่ ไหนจะอุปสรรคอื่น ๆ ที่เทใส่เข้ามาในเวลาเดียวกัน จนครอบครัวของเธอต้องหนีไปเกือบสุดภาคใต้
และการกลับมาที่นี่อีกครั้งในรอบห้าปี เธอไม่ได้คิดที่จะเจอกับเขา แต่ทำไมโชคชะตาถึงทำให้เจอกันอย่างง่ายดาย ทั้งที่เขาเองก็ไม่เคยกลับมาเมืองไทยตั้งแต่เกิดเรื่อง...
